สำหรับอุปกรณ์ไอทีต่างๆ พอร์ต USB ถือได้ว่าเป็นลู่ทางพื้นฐานในการเชื่อมต่อที่สำคัญ ในปัจจุบันนี้นี้เรียกว่าอุปกรณ์ไอทีหลากหลายชนิดจะจำเป็นจะต้องรองรับการเชื่อมต่อผ่านสาย USB ไม่ว่าจะใช้ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลต่างๆ หรือไว้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ก็ตาม
โดยตัว USB เอง ก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ไม่แค่แต่รูปร่างเท่านั้น แต่ยังพลิกแปลงในด้านความสามารถในด้านอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ที่ฉับพลันมากยิ่งขึ้น และล่าสุดก็มีหลักเกณฑ์การเชื่อมต่อรูปแบบใหม่อย่าง USB Type-C หรือ USB-C เข้ามาให้ใช้งานกันแล้ว และหลังจากนั้นวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะทยอยปรับเปลี่ยนแปลงมาใช้ USB Type-C กันมากขึ้นตามลำดับ แต่ก่อนที่เราจะไปรู้จัก USB Type-C มาทดลองเรียนรู้กันดูก่อนดีกว่าว่า USB นั้น มีกี่รูปแบบ และแต่ละสไตล์มีความแตกต่างกันเช่นใด
สายชาร์จ[/u] USB Type-A 2.0[/b]
USB Type-A เป็น USB ที่เราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุดในช่วงปัจจุบัน เพราะใช้กันอย่างแพร่หลายกับวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เวอร์ชันแรกของ USB Type-A จะเป็นเวอร์ชัน 1.1 โดยถือกำเนิดในช่วงปี 1998 แต่ในสมัยนี้นี้ USB Type-A 1.1 ได้ถูกแคงทนที่ด้วยเวอร์ชัน 2.0 ตั้งแต่ปี 2000 ฯลฯมา ด้วยเทคโนโลยีของเวอร์ชัน 2.0 สามารถถ่ายข้อมูลได้โดยพลันกว่านั่นเอง
ส่วน USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 เริ่มมีการใช้งานตั้งแต่ปี 2008 แต่เหตุเพราะในขณะนั้น อุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่รองรับการใช้งาน USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 จึงทำให้ USB Type-A 3.0 ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
จนกระทั่งในยุคปัจจุบันหลักเกณฑ์ของ USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 เป็นที่นิยมมากขึ้น และมีวัสดุอุปกรณ์รองรับมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเวอร์ชัน 2.0 อีกด้วย โดยความแตกต่างของเครื่องมือที่รองรับพอร์ต USB 3.0 ข้างในจะเป็นสีฟ้า เพื่อเป็นจุดสังเกตด้านนอกที่แสดงถึงความผิดแผกแตกต่างระหว่าง USB 2.0 กับ USB 3.0
สายชาร์จ[/url] USB Type-A mini และ USB Type-A micro[/b]
ความแตกต่างระหว่าง USB Type-A micro และ USB Type-B
เพื่อ USB Type-A mini ได้มีการเลิกใช้ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ส่วน USB Type-A micro ยังคงมีอยู่ แต่พบเจอได้น้อยมาก มีเพียงไม่แค่กี่อุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-A micro และในสมัยนี้ เวอร์ชันของ USB Type-A micro ได้พัฒนามาเป็นเวอร์ชัน 3.0 เช่นกัน
USB Type-B 3.0ส่วน USB Type-B ที่ยังเห็นใช้กันอยู่ในช่วงปัจจุบัน อาจจะจะหนีไม่พ้นเครื่องปริ๊นเตอร์กับเครื่องสแกนเนอร์ โดยถ้าเป็นเวอร์ชัน 2.0 ก็หาได้ทั่วๆ ไปในยุคปัจจุบัน ส่วนเวอร์ชัน 3.0 ก็มีการรองรับแล้วเช่นกัน
USB Type-B mini (ซ้าย) และ USB Type-B micro (ขวา)USB Type-B mini จะใช้กับวัสดุอุปกรณ์รุ่นเก่า อย่างเช่นกล้องดิจิทัล ส่วน USB Type-B micro จะเป็นที่แพร่หลายมากกว่า เพราะโดยหลักๆ แล้ว สมาร์ทโฟนในสมัยนี้แทบทั้งหมดรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-B micro
USB Type-C ดีกว่าเช่นไร? ล่าสุด USB ได้ถูกพัฒนาในกฏเกณฑ์ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า USB Type-C หรือ USB-C ซึ่งมาพร้อมด้วยเทคโนโลยี USB เวอร์ชัน 3.1 ที่มีศักยภาพมากขึ้นกว่าเดิม และจะเป็นหลักเกณฑ์ใหม่ของวงการไอที และเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้งานพอร์ต USB ที่จะจำเป็นจะต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งาน ส่วน USB Type-C มีการแปรเปลี่ยนแปลงไปจาก USB ของเก่าเช่นไร และจะมีคุณลักษณะใดที่เหนือกว่า USB รุ่นเก่าบ้าง จำต้องตามไปดูกัน
- สามารถใช้งานกับเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างง่ายมากขึ้น
เรียกว่าเป็นที่น่าสับสนไม่น้อย ถ้าหากจำเป็นจะต้องการเลือกซื้อสาย USB สักเส้น รวมถึงเมื่อเชื่อมต่อ USB เข้ากับวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เรียกว่าทุกคนอาจจะเคยพบปัญหาเกี่ยวกับการเสียบผิดด้าน เสียบไม่เข้า จนกระทั่งจำต้องเพ่งให้ดีกว่าเดิม ถึงจะเสียบเข้ากับเครื่องมือต่างๆ ได้
แต่เพื่อปมปัญหาด้านบนจะหมดไป เพราะ USB Type-C หัวเชื่อมต่อสามารถเสียบได้ทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะพลิกด้านบน หรือด้านล่าง คราวนี้ก็สามารถเสียบได้อย่างง่ายดาย ผิดกับ USB รุ่นก่อนๆ ที่จะจำเป็นจะต้องเสียบให้ถูกด้านนั่นเอง
- USB Type-C มากับเวอร์ชัน 3.1 ที่ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม
โดยหัวการเชื่อมต่อรูปแบบ USB Type-C จะมักจะมีลักษณะ และขนาดที่ใกล้เคียงกับ USB Type-B micro ซึ่ง USB Type-C มาพร้อมทั้งเทคโนโลยีเวอร์ชัน 3.1 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้สูงสุดถึง 10 Gbps เรียกว่าสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเดิมเป็นสองเท่าของ USB เวอร์ชัน 3.0 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ได้ที่ 5 Gbps จึงทำให้ USB Type-C มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมเพื่อการถ่ายโอนไฟล์ใหญ่ๆ อย่างเช่นวิดีโอความละเอียด 4K หรือการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับสมาร์ททีวี เพื่อเล่นเกมที่จำต้องรองรับการการโอนข้อมูลจำนวนมากก็ตาม
USB Type-C รองรับการจ่ายไฟที่มากกว่าด้วยเทคโนโลยี USB Power Technology จึงทำให้ USB Type-C สามารถรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงถึง 20V, 5A นั่นหมายความว่าอุปกรณ์ใหญ่ๆ อย่างโน๊ตบุ๊คสามารถชาร์จผ่าน USB Type-C ได้เลย รวมถึงการถ่ายโอนไฟล์ก็สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนบนวัสดุอุปกรณ์พกพาอย่างเช่นสมาร์ทโฟน ผลพลอยได้นี้จึงทำให้สมาร์ทโฟนต่างๆ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ฉับพลันขึ้นนั่นเอง
USB Type-C ได้รับการพัฒนาจากกลุ่ม USB Promoter Group ซึ่งมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในปลายปี 2014 ว่า ได้พัฒนา USB Type-C เป็นผลสำเร็จ และจะใช้ USB Type-C เป็นเกณฑ์การเชื่อมต่อกับเครื่องมือในอนาคต โดยในยุคปัจจุบันก็มีเครื่องมือหลายจำพวกที่รองรับการใช้งาน USB Type-C บ้างแล้ว ซึ่งคาดว่าในปลายปี 2015 จะเริ่มมีเครื่องมือที่รองรับการเชื่อมต่อกับ USB Type-C มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรือโน๊ตบุ๊คก็ตาม
เรียกได้ว่า USB Type-C จะเป็นอีกมาตรฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของวงการไฮเทค ซึ่งแน่ๆ ว่าในอนาคตนั้น เครื่องมือต่างๆ จะรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C เพิ่มมากขึ้น และจะเริ่มมีการใช้งาน USB Type-C อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ที่มา :
Tags : สายชาร์จ