แจกแจงปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ “เครื่องปรับอากาศ” ควรซื้อกี่บีทียู แบบตั้ง/แขวนหรือแบบติดผนึง หรือควรเลือกระบบกรองอากาศแบบไหน หรือที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ในฤดูร้อนอย่างนี้ ทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนัก ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย การดูแลเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การล้างเครื่องให้ทำงานดีขึ้น ส่วนใครที่ต้องการซื้อเครื่องปรับอากาศในช่วงนี้ ก็ต้องทำการบ้านเสียหน่อย เพราะจากการสำรวจพบว่า พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อมักเน้นเลือกเครื่องปรับอากาศ ที่มีเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพเป็นอันดับแรก รองลงมาคือดูที่การประหยัดไฟ ราคา บริการหลังการขายและรูปลักษณ์ของสินค้า
อย่างไรก็ตาม ฉลาดซื้อเห็นว่า เราควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่คุ้มค่าระหว่างเงินที่ต้องเสียไปกับเทคโนโลยีที่ได้กลับมา นอกจากนี้ ยังควรคำนึงถึงการประหยัดไฟฟ้าในระยะยาวด้วย
เลือกแอร์อย่างไรให้ “เย็นใจ”
1.เลือกให้เหมาะกับขนาดห้อง ขนาดการทำงานของแอร์ เรียกว่า “บีทียู” การเลือกขนาดบีทียูให้เหมาะกับขนาดห้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าสูงไป คอมเพรสเซอร์จะทำงานตัดบ่อยเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดน้อยลงและความชื้นในห้องสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังราคาแพงและเปลืองไฟ แต่หากเลือกบีทียูต่ำไป คอมเพรสเซอร์ก็จะทำงานตลอดเวลา เนื่องจากความเย็นในห้องยังไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและเครื่องเสียเร็วอีกเช่นกัน
2.เลือกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 การเลือกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ไม่กินไฟมาก แต่ให้ความเย็นได้เท่ากัน ทั้งนี้ หากเครื่องปรับอากาศที่คุณชอบมีบีทียูเท่ากัน และเป็นเบอร์ 5 เหมือนกัน ขอแนะนำให้เลือกเครื่องที่มีค่า “อีอีอาร์” มากกว่า เพราะกินไฟน้อยกว่า ค่าอีอีอาร์ หรือ Energy Efficiency Ratio เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพด้านพลังงาน ซึ่งสามารถดูได้จากเอกสารแนะนำสินค้านั้นๆ
3.ดูอายุการใช้งาน การติดตั้งและบริการหลังการขาย การเลือกบริษัทที่น่าเชือถือ มีการทำตลาดมานาน มีบริการติดตั้งโดยผู้ชำนาญการ และบริการหลังกการขายที่ดี ตลอดจนการรับประกันต่างๆ ถือเป็นจุดสำคัญที่ต้องพิจารณาเช่นกัน
4.ดูคุณสมบัติพิเศษและดีไซน์ว่า คุ้มค่ากับราคาหรือไม่ เครื่องปรับอากาศในปัจจุบันยังแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีความเย็น ความเงียบ จนถึงเรื่องของสุขภาพ ที่มีการใส่เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งก็มีอยู่หลายแบบ ทั้งซิลเวอร์นาโน นาโนไทเทเนียม แผ่นกรองเฮปป้าฟิลเตอร์ พลาสม่าคลัสเตอร์ เป็นต้น ซึ่งเรามีข้อมูลมาฝาก…..
ระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศมีหลายระบบ ดังนี้
1) การกรอง (Filtration) เป็นการใช้แผ่นกรองอากาศดักจับฝุ่นละออง หรืออนุภาคขนาดใหญ่ โดยสิ่งสกปรกจะติดค้างอยู่ที่ไส้กรอง ต้องทำการเปลี่ยนเมื่อหมดอายุการใช้งาน ตัวอย่างของระบบนี้ ได้แก่ HEPA ซึ่งเป็นการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพกำจัดอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.05 ไมครอน ในกรณีที่ต้องการกำจัดกลิ่นในอากาศ จะนิยมใช้ “แผ่นคาร์บอน” เพื่อดูดซับกลิ่น
2) การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) เป็นการใช้ตะแกรงไฟฟ้าดักจับฝุ่น โดยการเพิ่มประจุไฟฟ้าให้แก่อนุภาคฝุ่นและใช้แผ่นโลหะอีกชุดหนึ่งซึ่งเรียง ขนานกันดูดอนุภาคฝุ่นเอาไว้ โดยหลังจากการใช้งานไประยะหนึ่ง จะต้องมีการทำความสะอาดแผ่นโลหะ
3) การปล่อยประจุไฟฟ้า (Ionizer) เป็นการใช้เครื่องผลิตประจุไฟฟ้าและปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาพร้อมกับลมเย็น เพื่อดูดจับอนุภาคฝุ่นละอองและกลิ่น โดยประจุไฟฟ้าลบที่ถูกปล่อยออกมาจะดูดฝุ่นและกลิ่น ที่มีโครงสร้างเป็นประจุบวก จนกระทั้งรวมตัวกันใหญ่ขึ้นและตกลงสู่พื้นห้อง ข้อดีของระบบนี้คือไม่จำเป็นต้องถอดออกมาทำความสะอาด ทั้งนี้ เครื่องปรับอากาศที่ระบุว่า “มีระบบฟอกอากาศ” นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการป้องกันเชื้อโรค ไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อภายในเครื่องขณะที่ไม่ทำงานเท่านั้น
5.เลือกประเภทให้เหมาะสม
เครื่องปรับอากาศมีอยู่ 2 แบบที่เป็นที่นิยม คือ
1) แบบติดผนัง เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กกระทัดรัด เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่น้อย เช่น ห้องนอนหรือห้องรับแขกขนาดเล็ก มีข้อดีคือ รูปแบบทันสมัย ที่ให้เลือกหลากหลาย ทำงานเงียบและติดตั้งง่าย ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับงานหนัก
2) แบบตั้ง/แขวน เป็นเครื่องปรับอากาศที่เหมาะกับห้องทุกขนาด ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ข้อดีคือ สามารถเลือกติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งพื้นหรือแขวนเพดาน ใช้งานได้หลากหลาย และมีการระบายลมที่ดี ส่วนข้อเสียคือ ไม่มีรูปแบบให้เลือกมากนัก
ที่มา:
https://easyairservice.wordpress.com/2011/02/07/howtobuy/