ผู้เขียน หัวข้อ: การเลือกซื้อแอร์มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง?  (อ่าน 1607 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
การเลือกซื้อแอร์มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง?
« เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2017, 16:13:00 »
 ข้อแนะนำต่อไปนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่กำลังตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศได้ดีขึ้น
 
  • ควรเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศจากผู้ผลิตและผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้ เพราะเครื่องปรับอากาศอาจจะมีกำลังความเย็น ( BTU ) น้อยกว่าที่แสดงไว้บนฉลาก หรือที่ภาษาช่างแอร์เรียกว่าไม่เต็มบีทียู เครื่องปรับอากาศบางยี่ห้ออาจมีกำลังความเย็นเพียง 70 - 80 % ของที่โฆษณาไว้ นอกจากจะมีกำลังความเย็นไม่เต็มบีทียูแล้ว อาจจะมีเสียงดังและมีอายุการใช้งานที่สั้นอีกด้วย
  • ควรเลือกใช้เครื่องปรับอากาศ ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือเบอร์ 4 และได้มาตรฐานอุตสาหกรรม(มอก.) เพราะได้รับการทดสอบความสามารถ ในการทำความเย็นแล้วซึ่งทำให้ท่านแน่ใจได้ว่าจะได้ เครื่องปรับอากาศที่ประหยัดไฟฟ้าและมีประสิทธิภาพเต็มบีทียู นอกจากนี้ควรพิจารณาประกอบกับผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือเนื่องจากว่าอาจจะมีผู้ผลิตบางรายปลอมฉลากเบอร์ 5 ด้วย
  • นอกจากฉลากเบอร์ 5 แล้ว ควรพิจารณาค่า SEER หรือ EER ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน โดยค่านี้ได้รับการทดสอบการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ยิ่งค่าสูงยิ่งหมายถึงประหยัดไฟมาก
  • เลือกใช้เครื่องปรับอากาศของผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่มีบริการหลังการขายที่ดีข้อนี้เป็นข้อที่มีความสำคัญมากและผู้ให้บริการนั้นจะต้องมีความชำนาญและได้มาตรฐาน
  • มีมาตรฐานรับรองเช่น มอก. CE JIS ISO เป็นต้น
  • มีมาตรฐานการให้บริการหลังการขายที่ดี
  • การเลือกเครื่องต้องมีบีทียูที่เหมาะสม เพราะหากเครื่องปรับอากาศบีทียูต่ำเกินไปจะทำให้ห้องไม่เย็น หากบีทียูสูงเกินไปจะทำให้แอร์ตัดบ่อย ห้องเหม็นอับชื้นได้

ที่มา: https://www.daikin.co.th/service-knowledge/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%a5%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%8b%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b9%81%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%b5%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%b1%e0%b8%81/

 

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
ประหยัดแอร์ – ใช้งานแอร์ในหน้าร้อนให้ประหยัด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 พฤศจิกายน 2017, 00:07:19 »
หลายๆ คนมีความเชื่อว่าการใช้งานเครื่องปรับอากาศใน หน้าร้อน จะทำให้เสียค่าไฟและยังเปลืองพลังงานมากขึ้น

หน้าร้อนปีนี้ เราจึงควรหมั่นดูแลล้างแอร์สม่ำเสมอ และทำการประหยัดแอร์ เลือกใช้แอร์อย่างถูกวิธีก็จะช่วยประหยัดค่าไฟในหน้าร้อนได้มากทีเดียว วันนี้เราจึงนำเคล็ดวิธีดีๆ ในการใช้แอร์หน้าร้อนให้ประหยัดมาฝากกัน

1. เลือกติดตั้งแอร์ระบบ Inverter
การติดตั้งแอร์ที่เป็นระบบ Inverter ทำให้ประหยัดค่าไฟได้มากถึง 50 เปอร์เซ็น ต่างจากแอร์ธรรมดาที่มีระบบการทำงานแบบเร่งความเย็น ที่เมื่อเย็นถึงจุดหนึ่งก็จะทำการตัดไฟ ทำงานต่อเนื่องไปแบบนี้เป็นการเปลืองไฟ ต่างจากแอร์ระบบ Inverter

2. เลือกติดตั้งแอร์ที่มี BTU เหมาะสมต่อการใช้งาน
การเลือกติดตั้งแอร์ที่มีขนาดเหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานได้มาก และยังช่วยยืดอายุการใช้งานของแอร์อีกด้วย เพราะช่วยลดภาระของแอร์ไม่ให้ทำงานหนักมากเกินไป ซึ่งการเลือกขนาดของแอร์และการติดตั้งแอร์สามารถปรึกษาช่างผู้เชี่ยวชาญได้เพื่อความมั่นใจ

3. ปิดรอยรั่วระหว่างการติดตั้งแอร์
ระหว่างการติดตั้งแอร์ควรให้ช่างตรวจสอบร่องรอยรอบๆ ห้องที่อาเกิดการรั่วไหลของอากาศ เพื่อลดการทำงานหนักของแอร์รวมถึงกันความเย็นรั่วไหลออกจากห้องด้วย

4. กั้นห้องเฉพาะบริเวณที่ต้องการความเย็น
บางครั้งเราก็จำเป็นต้องทำการติดตั้งแอร์ในห้องที่มีขนาดใหญ่และมีพื้นที่ใช้สอยหลายส่วน การกันห้องเฉพาะบริเวณที่ต้องการความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็เป็นอีกทางเลือกที่จะช่วยลดการทำงานของเครื่องได้

5. เลือกใช้แอร์ที่ทำความสะอาดง่าย
การล้างแอร์เป็นหนึ่งในวิธีการบำรุงรักษาแอร์ที่สำคัญมาก เพราะในการทำงานของเครื่องปรับอากาศแต่ละครั้งจะเกิดการสะสมของฝุ่นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นการเลือกใช้เครื่องปรับอากาศที่ทำความสะอาดง่าย และหมั่นทำความสะอาดบ่อยๆ โดยช่างมืออาชีพจะช่วยทำให้แอร์ของคุณสะอาด ทำงานได้ราบรื่นไม่ขัดข้องและช่วยประหยัดไฟ

6. ตรวจเช็คสภาพแอร์เป็นประจำ
การติดตั้งแอร์อย่างถูกวิธีและมีการตรวจเช็คสภาพเครื่องอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราสามารถเตรียมรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที และยังช่วยลดภาระรายจ่ายที่อาจเกิดจากค่าซ่อมเมื่อแอร์เสียได้อีกด้วย


ที่มา: https://www.helpdee.com/blog/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%ab%e0%b8%a2%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c/

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
  แจกแจงปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกซื้อ “เครื่องปรับอากาศ” ควรซื้อกี่บีทียู แบบตั้ง/แขวนหรือแบบติดผนึง หรือควรเลือกระบบกรองอากาศแบบไหน หรือที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ในฤดูร้อนอย่างนี้ ทำให้เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนัก ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นตามไปด้วย การดูแลเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การล้างเครื่องให้ทำงานดีขึ้น ส่วนใครที่ต้องการซื้อเครื่องปรับอากาศในช่วงนี้ ก็ต้องทำการบ้านเสียหน่อย เพราะจากการสำรวจพบว่า พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อมักเน้นเลือกเครื่องปรับอากาศ ที่มีเทคโนโลยีเกี่ยวกับสุขภาพเป็นอันดับแรก รองลงมาคือดูที่การประหยัดไฟ ราคา บริการหลังการขายและรูปลักษณ์ของสินค้า
     อย่างไรก็ตาม ฉลาดซื้อเห็นว่า เราควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่คุ้มค่าระหว่างเงินที่ต้องเสียไปกับเทคโนโลยีที่ได้กลับมา นอกจากนี้ ยังควรคำนึงถึงการประหยัดไฟฟ้าในระยะยาวด้วย

     เลือกแอร์อย่างไรให้ “เย็นใจ”
     1.เลือกให้เหมาะกับขนาดห้อง  ขนาดการทำงานของแอร์ เรียกว่า “บีทียู” การเลือกขนาดบีทียูให้เหมาะกับขนาดห้องเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะถ้าสูงไป คอมเพรสเซอร์จะทำงานตัดบ่อยเกินไป ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดน้อยลงและความชื้นในห้องสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังราคาแพงและเปลืองไฟ แต่หากเลือกบีทียูต่ำไป คอมเพรสเซอร์ก็จะทำงานตลอดเวลา เนื่องจากความเย็นในห้องยังไม่ได้ตามที่ตั้งไว้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานและเครื่องเสียเร็วอีกเช่นกัน

     2.เลือกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5  การเลือกฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ไม่กินไฟมาก แต่ให้ความเย็นได้เท่ากัน ทั้งนี้ หากเครื่องปรับอากาศที่คุณชอบมีบีทียูเท่ากัน และเป็นเบอร์ 5 เหมือนกัน ขอแนะนำให้เลือกเครื่องที่มีค่า “อีอีอาร์” มากกว่า เพราะกินไฟน้อยกว่า ค่าอีอีอาร์ หรือ Energy Efficiency Ratio เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพด้านพลังงาน ซึ่งสามารถดูได้จากเอกสารแนะนำสินค้านั้นๆ

     3.ดูอายุการใช้งาน การติดตั้งและบริการหลังการขาย  การเลือกบริษัทที่น่าเชือถือ มีการทำตลาดมานาน มีบริการติดตั้งโดยผู้ชำนาญการ และบริการหลังกการขายที่ดี ตลอดจนการรับประกันต่างๆ ถือเป็นจุดสำคัญที่ต้องพิจารณาเช่นกัน

     4.ดูคุณสมบัติพิเศษและดีไซน์ว่า คุ้มค่ากับราคาหรือไม่  เครื่องปรับอากาศในปัจจุบันยังแข่งขันกันด้านเทคโนโลยีความเย็น ความเงียบ จนถึงเรื่องของสุขภาพ ที่มีการใส่เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งก็มีอยู่หลายแบบ ทั้งซิลเวอร์นาโน นาโนไทเทเนียม แผ่นกรองเฮปป้าฟิลเตอร์ พลาสม่าคลัสเตอร์ เป็นต้น ซึ่งเรามีข้อมูลมาฝาก…..
     ระบบการทำงานของเครื่องปรับอากาศมีหลายระบบ ดังนี้

     1) การกรอง (Filtration) เป็นการใช้แผ่นกรองอากาศดักจับฝุ่นละออง หรืออนุภาคขนาดใหญ่ โดยสิ่งสกปรกจะติดค้างอยู่ที่ไส้กรอง ต้องทำการเปลี่ยนเมื่อหมดอายุการใช้งาน ตัวอย่างของระบบนี้ ได้แก่ HEPA ซึ่งเป็นการกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพกำจัดอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.05 ไมครอน ในกรณีที่ต้องการกำจัดกลิ่นในอากาศ จะนิยมใช้ “แผ่นคาร์บอน” เพื่อดูดซับกลิ่น
     2) การดักจับด้วยไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) เป็นการใช้ตะแกรงไฟฟ้าดักจับฝุ่น โดยการเพิ่มประจุไฟฟ้าให้แก่อนุภาคฝุ่นและใช้แผ่นโลหะอีกชุดหนึ่งซึ่งเรียง ขนานกันดูดอนุภาคฝุ่นเอาไว้ โดยหลังจากการใช้งานไประยะหนึ่ง จะต้องมีการทำความสะอาดแผ่นโลหะ
     3) การปล่อยประจุไฟฟ้า (Ionizer) เป็นการใช้เครื่องผลิตประจุไฟฟ้าและปล่อยประจุไฟฟ้าออกมาพร้อมกับลมเย็น เพื่อดูดจับอนุภาคฝุ่นละอองและกลิ่น โดยประจุไฟฟ้าลบที่ถูกปล่อยออกมาจะดูดฝุ่นและกลิ่น ที่มีโครงสร้างเป็นประจุบวก จนกระทั้งรวมตัวกันใหญ่ขึ้นและตกลงสู่พื้นห้อง ข้อดีของระบบนี้คือไม่จำเป็นต้องถอดออกมาทำความสะอาด  ทั้งนี้ เครื่องปรับอากาศที่ระบุว่า “มีระบบฟอกอากาศ” นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการป้องกันเชื้อโรค ไม่ให้เข้าไปแพร่เชื้อภายในเครื่องขณะที่ไม่ทำงานเท่านั้น

     5.เลือกประเภทให้เหมาะสม
          เครื่องปรับอากาศมีอยู่ 2 แบบที่เป็นที่นิยม คือ
          1) แบบติดผนัง เป็นเครื่องปรับอากาศขนาดเล็กกระทัดรัด เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่น้อย เช่น ห้องนอนหรือห้องรับแขกขนาดเล็ก มีข้อดีคือ รูปแบบทันสมัย ที่ให้เลือกหลากหลาย ทำงานเงียบและติดตั้งง่าย ส่วนข้อเสียคือ ไม่เหมาะกับงานหนัก
          2) แบบตั้ง/แขวน เป็นเครื่องปรับอากาศที่เหมาะกับห้องทุกขนาด ตั้งแต่เล็กถึงใหญ่ ข้อดีคือ สามารถเลือกติดตั้งได้ทั้งแบบตั้งพื้นหรือแขวนเพดาน ใช้งานได้หลากหลาย และมีการระบายลมที่ดี ส่วนข้อเสียคือ ไม่มีรูปแบบให้เลือกมากนัก


ที่มา: https://easyairservice.wordpress.com/2011/02/07/howtobuy/

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
ขั้นตอนการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2017, 03:04:40 »
 รูปแผนภาพขั้นตอนการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ การเลือก BTU ของเครื่องปรับอากาศ BTU (BRITISH THER MAL UNIT) คือ ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ มีหน่วย ดังนี้ 1 ตันความเย็น เท่ากับ 12000 BTU/HR. ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพที่แสดงว่า เครื่องปรับอากาศมีความสามารถในการนำพาความร้อนออกจากห้องในเวลา 1 ชั่วโมง เราควรเลือก BTU ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องที่จะติดตั้ง โดยใช้การเปรียบเทียบการเลือกขนาดของ BTU กับพื้นที่ห้อง ดังนี้
 
BTU/Hr.ขนาดห้องปกติห้องที่โดนแดด
9,0009 - 14 ตร.ม.9 - 13 ตร.ม.
12,00014 - 20 ตร.ม.13 - 17 ตร.ม.
18,00020 - 28 ตร.ม.17 - 25 ตร.ม.
24,00028 - 36 ตร.ม.25 - 33 ตร.ม.
30,00036 - 44 ตร.ม.33 - 41 ตร.ม.
36,00044 - 59 ตร.ม.41 - 55 ตร.ม.
42,00059 - 65 ตร.ม.55- 61 ตร.ม.
48,00065 - 76 ตร.ม.61 - 70 ตร.ม.
  ทำไมต้องเลือกขนาดของเครื่องปรับอากาศให้พอดี เลือกแอร์ใหญ่เกินไป คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อยครั้ง สิ้นเปลืองพลังงาน ความชื้นในห้องสูง ไม่สบายตัว ราคาและค่าติดตั้งสูงขึ้น
เลือกแอร์เล็กเกินไป คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลา สิ้นเปลืองพลังงาน อายุการใช้งานสั้น ห้องไม่เย็น หรือเย็นช้า
ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม
 
  • จำนวนและขนาดของหน้าต่าง
  • ทิศที่แดดส่องถึงหรือทิศที่ตั้งของห้อง
  • วัสดุหลังคามีฉนวนกันความร้อนหรือไม่
  • จำนวนคนใช้งานในห้อง
  • จำนวนและประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้อง

ที่มา: http://www.airbestbuy.com/article.php