ผู้เขียน หัวข้อ: เศรษฐศาสตร์ของเวลา  (อ่าน 847 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
เศรษฐศาสตร์ของเวลา
« เมื่อ: 18 กุมภาพันธ์ 2016, 10:07:46 »
มนุษย์ยุคหินใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการหาอาหารให้ทันมื้อต่อไป เพราะกว่าจะล่าสัตว์มาได้ นั่งย่างกิน นั่งพักได้ไม่นานก็ต้องเตรียมออกล่าสัตว์ใหม่แล้ว เพราะใกล้เวลามื้อต่อไป แทบจะไม่มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น

(บทความนี้นี้ร่วมคอนทริบิวต์โดย คุณนรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ (@1001ii) เจ้าของบล็อก coziplace.com , dekisugi.net และผู้เขียนหนังสือเศรษฐศาสตร์และการลงทุน อาทิ เอาตัวรอดด้วยทฤษฏี และวัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวคุณเอง ขอขอบคุณมากๆ ครับ ผมเป็นแฟนคลับติ่งอยู่นะครับ >w<)

ในโลกสมัยใหม่ที่รู้จักการเพาะปลูก อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจระบบตลาดแล้ว ผู้มีรายได้น้อย อาจสบายกว่ามนุษย์ยุคหินหน่อยตรงที่ไม่ต้องวิ่งตามให้ทันน้ำย่อยตลอดเวลา หลักการแบ่งงานกันทำช่วยทำให้ผลิตภาพของทุกคนเพิ่มขึ้น เราปล่อยให้การหาอาหารเป็นหน้าที่ของคนที่ทำอาชีพด้านนี้โดยเฉพาะ ทุกคนเปลี่ยนจากหาอาหารมาหาเงินแทน ถึงเวลาหิวก็เอาเงินไปซื้ออาหารมากิน เอาเวลาส่วนใหญ่ไปหาเงินให้ทันค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เรียกว่าเอาเวลาส่วนใหญ่ไปขายแรงงานแลกเงิน

เป็นเรื่องแปลกที่ในโลกสมัยใหม่ ยิ่งเป็นงานที่ต้องออกแรงมากเท่าไร ก็ยิ่งได้ค่าแรงต่ำเท่านั้น งานที่จ่ายดีมักเป็นงานที่เสียเหงื่อน้อยกว่า แต่จะหนักไปทางเครียดแทน คือยิ่งเราได้ทำงานที่ต้องใช้กำลังกายน้อยเท่าไร เราก็ยิ่งได้เงินเดือนมากขึ้นเท่านั้น งานประเภทผู้บริหารไม่ต้องทำเอง แต่ชี้นิ้วสั่งคนอื่นทั้งหมด แต่ว่าเครียดฉิบหาย เรียกว่าเปลี่ยนจากเอาเหงื่อไปแลกเงิน เป็นเอาความเครียดไปแลกเงินแทน

คนที่เริ่มทำงานที่หนักไปทางเครียดมากกว่าเหนื่อยแล้ว มักเป็นจะเป็นพวกที่เริ่มหารายได้ได้เร็วกว่าค่าใช้จ่ายประจำแล้ว ผลก็คือ มันเป็นพวกเงินเหลือ เริ่มออมเงินได้ แต่ในแง่ของเวลาแล้ว พวกเขาก็ยังมีเวลาน้อยมากอยู่ดี ยิ่งเงินเดือนสูง งานก็ยิ่งยุ่ง คนกลุ่มนี้จึงเริ่มกล้าจ่ายเงินเพื่อซื้อเวลามากขึ้น คนทำงานระดับปฎิบัติการอาจจะชอบไปต่อแถวคิวยาวๆ เพื่อซื้อของลดราคา หรือนั่งรถขนส่งไปเที่ยวเพื่อประหยัดเงิน แต่คนทำงานระดับบริหารจะเริ่มยินดีจ่ายราคาเต็มเพื่อให้ได้ของเลย หรือนั่งเครื่องบินเพื่อประหยัดเวลาเดินทางให้ได้อีก 4-5 ชั่วโมงก็เป็นเรื่องคุ้มสำหรับพวกเขา

คนที่รวยขึ้นไปเรื่อยๆ เงินจะเริ่มมีค่าน้อยลงเมื่อเทียบกับเวลา และเขาจะยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อเวลามากขึ้นเรื่อยๆ ผมมานั่งคิดว่า สุดท้ายแล้ว คนที่รวยมากๆ จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับอะไรถึงจะคุ้มค่าที่สุดในทางเศรษฐศาสตร์ คำตอบของคำถามนี้น่าจะเป็นกิจกรรมอะไรก็ตามที่มนุษย์เรายังไม่สามารถจ่าย เงินเพื่อซื้อกิจกรรมนั้นได้ ซึ่งอาจเกิดจากเพราะว่าเป็นไปไม่ได้ หรือเพราะเรายังไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในยุคนี้

บางคนบอกว่า ความรู้เงินซื้อไม่ได้ แต่ถ้าพูดกันตามตรง ผมว่าก็ไม่ค่อยจริงเท่าไร คนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้หมดทุกเรื่อง ก็สามารถจ้างคนเก่งๆ ในเรื่องนั้นๆ มาเป็นลูกน้องหรือให้คำปรึกษาได้

อะไรอย่างแรกที่เงินซื้อไม่ได้จริงๆ ที่ผมคิดออกก็คือ การออกกำลังกายเพื่อรักษาสุขภาพ เราไม่สามารถจ้างคนมาวิ่งแทนเราวันละครึ่งชั่วโมงได้ แต่เราต้องทำเอง หรือถ้าเราจะรอให้ป่วยหนักแล้วเอาเงินฟาดหัวหมอให้รักษาเราให้หายให้ได้ มันก็อาจจะได้ แต่ว่าเราก็ยังต้องป่วยหนักอยู่ดี แบบนี้ก็ไม่ไหว
อีกอย่างหนึ่งที่คิดออกก็คือ การใช้เวลาเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เรารัก เช่น การสร้างมิตรภาพกับคนอื่น หรือการหาคู่ชีวิต เราคงไม่สามารถจ้างมืออาชีพมาจีบผู้หญิงแทนเราได้ ต้องทำเอง หรือการจ้างคนมาเลี้ยงลูกแทนเราอาจทำได้ก็จริง แต่เราก็จะไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับลูกอยู่ดี ถ้าอยากสนิทก็ลูกก็ต้องทำเอง เป็นต้น

ฉะนั้นถ้าอยากมุ่งมั่นหาเงินตัวเป็นเกลียวแค่ไหนก็ทำไป แต่อย่าละเลยสองเรื่องนี้ คือ การออกกำลังกาย และการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น เพราะสุดท้ายแล้ว ต่อให้คุณมีเงินมากแค่ไหน คุณก็ไม่สามารถซื้อสองสิ่งนี้ได้ครับ

credit: http://fjsk.in.th/economy-of-time/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 กุมภาพันธ์ 2016, 10:10:35 โดย Master »