เนื่องจากในบางครั้งที่เราทำเว็บก็อาจจะต้องใช้ปลั๊กอินหลายๆ ตัว แม้ว่าจะใช้งานปลั๊กอินนั้นเพียงแค่ไม่กี่หน้า แต่ปลั๊กอินบางตัวฝังตัวเองไปทุกหน้า ทำให้มีการรีเควสไฟล์ของปลั๊กอินตัวนั้นทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้งานมันบนหน้านั้นๆ เลย และยังทำให้เว็บของเราโหลดช้าลง และกินทรัพยากรเครื่องโดยเปล่าประโยชน์
ยกตัวอย่างหน้าด้านล่าง ซึ่งเป็นเพียงหน้าบทความที่เขียนโดยการใช้ Visual Editor ตัวพื้นฐานของ WordPress ไม่ได้ใช้ Elementor Page Builder และไม่ได้เป็หน้าที่มี Contact Form
แต่ก็ยังมีการเรียกใช้งานปลั๊กอินเหล่านั้นในหน้านี้เมื่อเราทำการทดสอบด้วย
tools.pingdom.com Plugin Organizerคือปลั๊กอินที่จะช่วยให้เราสามารถที่จะกำหนด ได้ว่าให้ปลั๊กอินไหนทำงานที่หน้าไหนๆ ได้บ้าง เช่น กำหนดปิดปลั๊กอิน Contact Form 7 ทั้งเว็บ แล้วเปิดเฉพาะหน้าที่มีการใช้งานฟอร์มเท่านั้น วิธีการนี้จะช่วยให้เราลดการทำงานของเว็บไปได้มาก เพราะไม่จำเป็นต้องโหลดในสิ่งที่ไม่จำเป็น
Selective Plugins Loadingขั้นตอนแรกให้เราทำการเปิด Selective Plugins Loading ก่อน เพื่อให้ทำงานเฉพาะปลั๊กอินที่เราเลือกเท่านั้น โดยการไปตั้งค่าที่เมนู Plugin Organizer > Setting แล้วเลือก Selective Plugins Loading เป็น On
Disable Global Pluginsเราสามารถที่จะปิดการใช้งานปลั๊กอินที่ ไม่ได้จำเป็นต้องใช้งานส่วนใหญ่ในเว็บ เช่น contact form นั้นใช้เฉพาะหน้าที่มีฟอร์มก็พอ หรือพวก page builder ก็ใช้เฉพาะหน้าที่มีการใช้ page buidder หากเป็นหน้าบล็อกก็อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้
สามารถกำหนดได้ที่เมนู
Global Plugins โดยการคลิกเป็น OFF สำหรับปลั๊กอินที่ไม่ต้องการใช้งานในที่ใดๆ เลย ซึ่งเราจะไปเปิดเฉพาะหน้าในภายหลัง
หรือหากเราต้องการกำหนดแบบจำเพาะเจาะจงเป็น Post type เช่น Post หรือ Page ก็ใช้ตั้งค่าที่เมนู Post Type Plugins แทน
หาก เราปิด Contact Form 7 และ Elementor ก็จะได้ผลการทดสอบดังรูปด้านล่าง ซึ่งหน้าโพสต่างๆ ก็จะไม่มีการโหลดไฟล์ js ของปลั๊กอินทั้ง 2 แล้ว
การเปิดปลั๊กอินเฉพาะบางหน้าเมื่อเราทำการปิดแบบ Global ก็จะทำให้ปลั๊กอินที่มีสถานะเป็น Off นั้นไม่สามารถทำงานบนหน้าไหนๆ บนเว็บเราได้เลย ขั้นตอนต่อไป เมื่อเราต้องการใช้งาน เราก็จะเปิดเฉพาะหน้านั้นๆ เพื่อให้ปลั๊กอินทำงานได้
หลังปิดการใช้งาน Contact Form แบบ Global ทำให้หน้า Contact Us เป็นแบบนี้ ซึ่งมันก็กลายร่างกลับไปเป็น Shortcode นั่นเอง
ทำการ Edit เพจนั้น แล้วด้านล่างจะมี settings ของ Plugin Organizer อยู่ ก็ให้เราทำการแก้ไขสถานะของ Contact Form 7 ให้เป็น On
หลังจากเปลี่ยนสถานะเป็น On แล้ว ปลั๊กอินก็จะสามารถทำงานบนหน้านี้ได้
หากยังไม่แสดง ให้ลองติ๊กที่ตัวเลือก Override Post Type Settings ด้วย จากนั้นอัพเดตแล้วลองอีกที
สำหรับการเปิดปลั๊กอินบน Post นั้นจะต่างจาก Page เล็กน้อย เพียงแต่เราติ๊กตรงช่อง
Override Post Type Settings ก่อน แล้วก็กด Update หรือ Save Draft หากโพสยังไม่ได้ Publish แล้วจึงจะมีปลั๊กอินมาให้เราเลือกปิดเปิดเหมือนอย่างด้านบนIgnore URL argumentsแม้ ว่าเราจะเปิดการทำงานปลั๊กอิน Contact Form 7 ในหน้านี้ แต่เมื่อเราทำการ Preview ก็จะพบว่าไม่สามารถพรีวิวฟอร์มได้ นั่นเป็นเพราะระบบมองว่ามันเป็นคนละหน้าเพราะมันใช้คนละ URL กันนั่นเอง
วิธีการเปิดให้ปลั๊กอินมองว่าหน้าทั้งสองนั้นเป็นหน้าเดียวกันเพื่อความ สะดวกในการใช้งาน ทำได้ด้วยการเปิดฟังชั่น Ignore URL agruements นั่นเอง โดยการไปที่เมนู Plugin Organizer > Settings
เพียงเท่านี้เราก็สามารถลดการโหลดหน้าเว็บและทำให้เว็บเราเร็วขึ้นมาได้แล้ว ล่ะค่ะ เพียงแค่เราวิเคราะห์ดูว่าปลั๊กอินไหนที่สามารถเปิดใช้งานเฉพาะบางหน้าโดย ไม่จำเป็นต้องใช้งานร่วมกันทั้งเว็บ แล้วทำการปิดปลั๊กอินนั้นและเปิดเฉพาะหน้าที่ใช้งาน มันก็จะถูกเรียกใช้งานเฉพาะหน้าที่จำเป็นเท่านั้นค่ะ
ที่มา:
https://www.wpthaiuser.com/plugin-organizer/