ล่าสุดทาง Designil.com ได้มีโอกาสไปงานสัมมนา Spark Conference 2015 – Age of Expertise ที่จัดขึ้นโดยทีมงาน Thumbsup.in.th ครับ ซึ่งเป็นงานที่ให้ความรู้ด้าน
Digital Marketing ที่ดีมากที่สุดงานหนึ่งในไทยเลยครับ
หลังจากที่แอดมินไปมา และได้สรุปลงสมุด 9 หน้ากระดาษ ก็เอามาเรียบเรียงเขียนเป็นบลอคโพสนี้ให้ได้อ่านกันครับ โดยจะย่อยข้อมูลให้อ่านกันง่าย ๆ แต่ได้ความรู้ไปเต็มที่แน่นอน
มาดูกันเลยว่ามีหัวข้ออะไรบ้างครับ
- Digital Outlook 2015 : ภาพรวมตลาด Digital ในยุคปัจจุบัน
- Content Marketing Challenge : ความท้าทายของคนทำ Content Marketing ในปี 2015
- Content that ‘Change’ ประสบการณ์ทำ Content หาเสียงเลือกตั้ง
- Why it pays to be likable – 7 คอนเซปต์ง่าย ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเราโดดเด่น
- Youtube Marketing – เทคนิคเด็ดทำการตลาดด้วยวีดิโอ Youtube
- Digital Economy – อนาคตธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย
คำเตือน: บทความค่อนข้างยาว และรูปเยอะครับ ถ้าอ่านไม่จบอนุญาตให้ไปแปะใน Facebook ไว้มาอ่านต่อได้ หรือถ้าอ่านจบแล้วชอบก็อนุญาตให้ไปแปะไว้ใน Facebook แชร์ให้เพื่อน ๆ ที่ทำ Marketing ได้เช่นกันครับ
เวทีงาน Spark Conference 2015 อันยิ่งใหญ่
1. Digital Outlook 2015 : ภาพรวมตลาด Digital ในยุคปัจจุบัน <blockquote>ในปี 2015 นี้การขายสินค้าออนไลน์จะมีคู่แข่งมากขึ้น… คนที่ฉลาดกว่า คนที่ควบคุมงบประมาณได้ดีกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด</blockquote> ช่วงแรกเป็นการสรุปภาพรวมของตลาด Digital ในปี 2015 ว่ามีอะไรบ้างในปีที่ผ่านมา และมีอะไรใหม่ ๆ ในปีนี้ครับ โดยพี่ป้อม ศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายกสมาคม Digital Advertising Association Thailand ซึ่งก็มีสิ่งที่น่าสนใจต่าง ๆ ดังนี้ครับ
การมาถึงของ New Internet User
“คนใช้มือถือเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในปีนี้” – Digital Outlook 2015
ในปีนี้มีกลุ่มคนที่เรียกว่า
New Internet User เข้ามาในตลาด Digital มากขึ้น คนกลุ่มนี้ก็คือคนที่อาจจะไม่รู้ว่า Internet คืออะไร รู้แค่ว่า Facebook ต้องกดตรงนี้ในมือถือ หรืออยากคุย Line ต้องกดไอคอนเขียว ๆ เป็นต้น แบบเดียวกับฝรั่งในยุคเก่า ๆ ที่บอกว่า Internet คือตัว E สีฟ้า ๆ บนหน้าคอม
คนกลุ่มนี้จะใช้มือถือรุ่นถูก ๆ ตั้งแต่มือถือราคาไม่ถึงพัน ไปจนถึง Android จากจีนที่ราคาไม่กี่พัน หรือจะเป็น iPhone รุ่นเก่า ๆ ที่ขายมือสองกันเหลือราคาเครื่องละ 1000-2000 บาทเท่านั้น (เมื่อก่อนแอดมินซื้อสองหมื่นครับ iPhone 3GS เครื่องแรก T__T ซื้อช่วง
รับงานฟรีแลนซ์ตอนเรียนมหาลัย)
ซึ่งนอกจาก Facebook หรือ Line ที่คนไทยใช้กันตั้งแต่เด็กยันคนแก่แล้ว ช่องทางในการดูวีดิโอออนไลน์ต่าง ๆ อย่าง Line TV หรือ Youtube ก็ทำให้คนใช้มือถือมากขึ้น ซึ่งในปีนี้มี Traffic จาก Mobile เพิ่มขึ้นจาก 40% เป็น 60% เลยทีเดียว
การแข่งขันที่มากขึ้นในตลาด E-Commerce การมาของ New Internet User ก็ทำให้ตลาด E-Commerce คึกคักขึ้นด้วย คนซื้อของออนไลน์มีมากขึ้น และธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะขายสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เช่น บริการกำจัดปลวก, ขายประกัน, รับจองรถยนต์ ฯลฯ ก็เข้ามาทำการตลาดออนไลน์ ลงโฆษณา Google Adwords พร้อมสร้างเว็บไซต์เป็นช่องทางหาลูกค้าใหม่ ๆ ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ค่าใช้จ่ายในการลงโฆษณาจะไม่ได้เป็น “งบโฆษณา” อีกต่อไป แต่จะเป็น
“งบในการขาย” เพราะยิ่งลงโฆษณาออนไลน์ ยิ่งขายได้ ยิ่งได้เงินมาหมุนโฆษณาได้เรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
ในปี 2015 นี้การขายสินค้าออนไลน์จะมีคู่แข่งมากขึ้น Facebook ก็มี Organic Reach น้อยลง เพราะฉะนั้น คนที่ฉลาดกว่า คนที่ควบคุมงบประมาณได้ดีกว่าเท่านั้นที่จะอยู่รอด
เช่น Lazada มีการใช้ Retargeting Ads (โฆษณาที่จะติดตามเราไปทุกที่ ถ้าเราไปดูสินค้าใดในเว็บ Lazada ไว้ เวลาเปิด Facebook ก็จะเจอโฆษณาของสินค้านี้ตามไปด้วย) ช่วยกระตุ้นให้คนเข้ามาซื้อ หรืออาจจะล่อลวงด้วยส่วนลดที่น่าสนใจก็ทำให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าเทคนิคพวกนี้จะไม่ใช่ Mindset ของนักโฆษณา แต่เป็น
Mindset ของนักขาย มีการพูดคุยกันมากขึ้นก่อนซื้อของ
“ผู้ซื้อในยุคนี้นิยมถามความเห็นจากผู้อื่น ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า” – Digital Outlook 2015
นอกจากนั้นการซื้อของออนไลน์ในยุคนี้มีการพูดคุย สอบถาม หาความเห็นจากคนอื่น ๆ ก่อนซื้อมากขึ้นอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น สินค้า “กรรไกรตัดหญ้า” ก็มีคนตั้งกระทู้ถามใน Pantip.com ว่าควรเลือกแบบไหนดี และมี
กระทู้ที่เอารูปสินค้าจากร้านค้าออนไลน์มาโพส 2 รุ่น แล้วถามว่ารุ่นไหนดีกว่าซึ่งสิ่งนี้อาจจะสื่อได้ว่า New Internet User ไม่ได้ชอบหาข้อมูลเองเท่ากับ Internet User สมัยก่อน จึงใช้วิธีโพสถามแทน ข้อมูลแบบอ่านยาก ๆ เป็นตาราง Specification เยอะ ๆ อาจจะต้องเปลี่ยนเป็นข้อมูลที่ลูกค้าอ่านได้ง่ายแทน เพื่อให้เหมาะสมกับ New Internet User มากขึ้น
2. Content Marketing Challenge : ความท้าทายของคนทำ Content Marketing ในปี 2015 <blockquote>การคิด Strategy ต้องมี “มูลค่าทางการตลาด” ไม่ใช่ว่าโพสรูปหมาแมวไปวัน ๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้คนรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น</blockquote> Session นี้เป็นของพี่แก่ ณัฐพัชญ์ วงษ์เหรียญทอง ดำรงตำแหน่ง Head of Marketing ที่ DTAC ซึ่งมีความรู้ที่น่าสนใจดังนี้
เราต้อง Start with “Why”
“ก่อนคิด Strategy ให้เริ่มจากถามตัวเองก่อนว่า ทำไปทำไม” – Content Marketing Challenge
พี่แก่แนะนำหนังสือ
Start with Why ของ Simon Sinek ที่พูดถึงวิธีคิดก่อนจะทำอะไรต้องเริ่มจาก Why (ทำไม) เสมอ เราทำ Content ไปเพื่ออะไร คิด Strategy ไปทำไม ไม่ใช่อยู่ ๆ มาเริ่มจากอยากได้ 100,000 ไลค์, อยากได้ 5,000,000 วิว ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ทางธุรกิจของแบรนด์เลย
นอกจากนั้นการคิด Strategy ต้องมี “มูลค่าทางการตลาด” ไม่ใช่ว่าโพสรูปหมาแมวเรียกไลค์ไปวัน ๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้คนรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น หรือคนซื้อของเรามากขึ้นเพราะเราโพสรูปแมว (โอเค ยกเว้นเพจขายอาหารแมว, ของเล่นน้องแมว)
การตลาดแบบเดิม ๆ VS การตลาดด้วย Content
ความแตกต่างของ “การตลาดแบบเดิม ๆ” กับ “การตลาดด้วย Content” – รูปจาก @attachmedia
การตลาดแบบเดิม ๆ หรือ Traditional Publicity หมายถึง โฆษณาบนทีวี, หนังสือ, วิทยุต่าง ๆ ที่จะสอดแทรกขึ้นมาระหว่างเราดูละครสนุก ๆ, อ่านบทความเพลิน ๆ, หรือฟังเพลงวิทยุอยู่สบาย ๆ เป็น
การตลาดแบบ “Interrupt” นั่นเอง ซึ่งในการตลาดแบบนี้เราวางตัวเองเป็น “โฆษณา”
การตลาดด้วย Content หรือ Content Marketing หมายถึง การทำ Content ที่มีประโยชน์ให้คนสนใจเข้ามาอ่าน โดยไม่ได้ไปสอดแทรกแบบการตลาดเดิม ๆ แล้วแปลงให้คนอ่าน Content กลายเป็นลูกค้าของเราในที่สุด ซึ่งในการตลาดแบบนี้เราวางตัวเองเป็นเหมือน “สื่อ” มากกว่า “โฆษณา”
สิ่งสำคัญคือการ Optimize อย่างต่อเนื่อง
“การทำ Content ต้องมีการปรับปรุง ทดลองเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด” – Content Marketing Challenge – รูปภาพจาก dopedata.com
การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกกันว่า Kaizen เป็นหัวใจสำคัญในการทำ Content Marketing เพราะทุกอย่างบนโลกอินเตอร์เน็ตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจะใช้ Strategy แบบปีที่แล้วกับปีนี้ก็จะไม่ค่อย Effective เหมือนเดิมแล้ว
อย่างบลอคของพี่แก่เองก็มีการทดลองตลอดเวลาว่า บทความแบบไหนคนชอบอ่าน, รูปประกอบแบบไหนดีไม่ดี, ตั้งชื่อหัวข้อยังไงให้คนชอบ เป็นต้น
3. Content that ‘Change’ ประสบการณ์ทำ Content หาเสียงเลือกตั้ง <blockquote>ต้องมีการสอนคนที่จะมาลงคะแนน ว่าผู้ว่าฯมีอำนาจทำอะไรบ้าง อะไรทำได้ทำไม่ได้ มีงบประมาณเท่าไหร่ จึงจัดทำ Infographic ให้คนเข้าใจง่าย ๆ</blockquote> เมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้มีผู้สมัครผู้ว่าฯกรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง ที่มีวิธีการหาเสียงที่ไม่เหมือนใคร และมีคนพูดถึงอย่างมหาศาลในโลกอินเตอร์เน็ต นั่นคือคุณสุหฤท สยามวาลา ผู้สมัครว่าฯ เบอร์ 17
วันนี้คุณสุหฤทจะมาเล่าการทำ Content ทีละขั้นตอนในการหาเสียง จนได้รับผลโหวตสูงเป็นอันดับ 4 ในตอนจบ
การทำ Content ก็เหมือนการแต่งเพลง
Content Marketing สำหรับหาเสียง ของคุณสุหฤท
คุณสุหฤทบอกว่าในเพลง 1 เพลงก็จะแบ่งเป็นส่วน ๆ เริ่มจาก Intro ช่วงโหมโรง ไปถึง Verse และ Bridge กล่อมเกลาคนฟังให้อิน จากนั้นมาถึง Hook ที่จะทำให้คนติดหู และ Ending จบเพลงอย่างสวยงาม #การทำcontentก็เช่นกัน
เค้าเริ่มหาเสียงจาก
ช่วง Intro คือ การตัดสินใจว่าจะไม่ทำป้ายหาเสียงเด็ดขาด แต่ใช้ช่องทางประชาสัมพันธ์อื่นแทน เช่น ถ่ายรูปขี่จักรยานลง Internet และทำ MV ประกอบเพลงที่สื่อถึงนโยบายที่เค้าจะเล่าในช่วงถัดไป
พอมาถึง
ช่วง Verse คุณสุหฤทคิดว่าต้องมีการสอนคนที่จะมาลงคะแนน ว่าผู้ว่าฯมีอำนาจทำอะไรบ้าง อะไรทำได้ทำไม่ได้ มีงบประมาณเท่าไหร่ จึงจัดทำ Infographic ให้คนเข้าใจง่าย ๆ โดยการทำ Content จะเน้นเขียนหัวข้อให้กระชับเข้าใจง่ายใน 3 บรรทัดแรก เน้นสื่อความหมายชัดเจน
ส่วน
ช่วง Bridge เป็นการเดินหาเสียงแบบบ้าน ๆ แทนที่จะนั่งรถแบบคนอื่น ๆ คุณสุหฤทก็ปั่นจักรยานและเดินแทน ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเดิน 1 ล้านก้าว นักข่าวที่เดินตามก็คอยถามตลอดว่าทำไมคุณสุหฤตไม่นั่งรถ ทำไมไม่ไปผัดหมี่ ไปทอดไข่เหมือนผู้สมัครผู้ว่าฯ คนอื่น ๆ
และแล้วก็มาถึง
ท่อน Hook จากที่เค้าเดินทั่วกรุงเทพฯ ก็เห็นว่าหาถังขยะไม่ค่อยได้ เลยทำถังขยะติดชื่อสุหฤท เลขที่ 17 ไปวางทั่วกรุงเทพฯ แทนป้ายหาเสียง สื่อก็หันมาให้ความสนใจอย่างมหาศาล และทำให้คุณสุหฤทกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งของการเลือกตั้งผู้ว่าฯครั้งนี้ ทันทีแต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง
เมื่อมาถึง
ช่วง Ending อาทิตย์สุดท้ายของการหาเสียง ความนิยมของคุณสุหฤทก็ตกวูบโดยประโยค ๆ เดียวในตอนนั้น… “ไม่เลือกเรา เขามาแน่”
Content เป็น Liquid เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
“Content ของผมเกิดจากการขาดปัจจัย” – Content that ‘Change’
คุณสุหฤทฝากไว้ว่า อย่าคิดว่าการทำ Content เป็น Solid แผนงานที่เราวางไว้ดิบดีตั้งแต่แรกไม่สามารถใช้ได้จนจบแน่นอน ตอนที่เค้าหาเสียงก็เช่นกัน มีการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบถึงแผนงานตลอดเวลา
ความคิดคนเราเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นต้องมองการทำ Content เป็น Liquid
4. Why it pays to be likable – 7 คอนเซปต์ง่าย ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเราโดดเด่น <blockquote>การโพสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ บน Social Media ดีกว่าช่องทางอื่น ๆ ตรงที่ใช้เวลาน้อย ใช้ต้นทุนต่ำ และถ้าวันนี้เล่าแล้วพลาดไปก็สามารถเล่าใหม่ได้ในวันถัดไป หรือชั่วโมงถัดไปทันที</blockquote> Session นี้เป็นของคุณ Dave Karpen ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือขายดีระดับโลก
“Likeable Social Media” ซึ่งอธิบาย 11 คอนเซปต์ที่จะช่วยให้ธุรกิจเราดีขึ้นในโลกออนไลน์ ในวันนี้เค้าก็จะมาพูดถึง 7 คอนเซปต์จาก 11 คอนเซปต์ในหนังสือ ที่สามารถเริ่มต้นทำได้ในทันที
11 คอนเซปต์ง่าย ๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจรุ่งในยุค Social – Why it pays to be likeable
1. Listen First. ฟังให้เยอะ คนส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟัง ถ้าเราหัดฟังจากลูกค้าให้เยอะ ๆ ก็จะเจอโอกาสในการหารายได้มากมาย
ตัวอย่างเช่น มีครั้งหนึ่งที่คุณ Dave ไปเข้าพักโรงแรม Aria ที่ Las Vegas ซึ่งเค้าต้องรอถึง 45 นาทีกว่าจะได้เช็คอิน เค้าเลยพิมพ์บ่นไปใน Twitter ซึ่งก็มี Twitter Account ของโรงแรม Rio อีกโรงแรมใน Las Vegas มาตอบคุณ Dave ว่า “ขอโทษด้วยนะที่ครั้งนี้คุณเจอเรื่องไม่ดีเท่าไหร่ หวังว่าครั้งหน้าคุณจะมีความสุขในลาสเวกัสนะ”
แทนที่โรงแรม Rio จะตอบในเชิงเชิญชวนให้คุณ Dave ไปพักที่นั่น ซึ่งจะทำให้คุณ Dave รู้สึกกังวลว่าทำไมโรงแรม Rio มีห้องว่างทั้งที่โรงแรม Aria กลับคนเยอะมาก โรงแรม Rio กลับเลือกที่จะตอบในเชิงแสดงความเสียใจ และอวยพรคุณ Dave แทน
จากทวีตของโรงแรม Rio นั้น ทำให้คุณ Dave รู้สึกประทับใจ และทุกครั้งที่เขามา Las Vegas ก็จะนึกถึงโรงแรมนี้เป็นโรงแรมแรกเสมอ แถมแนะนำเพื่อนให้มาใช้บริการต่อ ๆ กันไปอีก กลายเป็นว่าแค่ 1 ทวีตก็ทำเงินให้โรงแรม Rio เป็นมูลค่ามากกว่า $1000
* หมายเหตุ: ขอขอบคุณคุณสิตา, คุณจิราภา, และคุณ Wannam ที่ช่วยแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องมา เพื่อให้บทความนี้สมบูรณ์ขึ้นและเป็นประโยชน์กับท่านที่เข้ามาอ่านยิ่งขึ้น ครับ 2. Response to Everyone. ตอบทุกคน ไม่ว่าจะชมหรือด่าเรา
“ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” 2 คำพูดง่าย ๆ ที่แก้ปัญหาได้มากมาย – Why it pays to be likeable
60% ของแบรนด์ในปี 2014 ไม่ตอบโพสลูกค้าบนเพจ เหมือนกับคนโทรมาแล้วเราตัดสายทิ้ง ซึ่งเป็นการตัดสายแบบมีคนเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คนมองเห็นได้ด้วย
ตัวอย่างเช่น มีคนไปด่า Verizon (ผู้ให้บริการโทรศัพท์ในอเมริกา) ใน Facebook Page แบบเสีย ๆ หาย ๆ เพราะมีการเก็บเงินเกินจริง ทาง Verizon ก็ติดต่อไปเคลียร์ปัญหา และในอีก 2 วันถัดมาคนเดิมก็มาโพสชม Verizon ใน Facebook Page อย่างดีมาก
ส่วนตัวอย่างที่ทำไม่ดี เช่น สายการบิน United ทำกีตาร์ลูกค้าหัก พอลูกค้ามาโพสด่าบน Facebook Page ก็โดนลบโพสทิ้ง ลูกค้าโกรธ ไปทำคลิปประจานเป็นเพลง ชื่อ United Breaks Guitar จนทำให้หุ้นของ United ตกลงไปถึง 180 ล้านดอลลาห์
มาชมวีดิโอ
United Breaks Guitar ที่มียอดวิวกว่า 14 ล้านวิวใน Youtube กันเลยครับ
3. Tell. Don’t Sell. เล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ การโพสเล่าเรื่องราวต่าง ๆ บน Social Media ดีกว่าช่องทางอื่น ๆ ตรงที่ใช้เวลาน้อย ใช้ต้นทุนต่ำ และถ้าวันนี้เล่าแล้วพลาดไปก็สามารถเล่าใหม่ได้ในวันถัดไป หรือชั่วโมงถัดไปทันที
นอกจากนั้นก็สามารถเล่าผ่านสื่อได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ รูปภาพ วีดิโอ จะเป็นวีดิโอสั้น ๆ ลงใน Vine, Instagram หรือเป็นวีดิโอยาว ๆ ลง Facebook, Youtube ก็สามารถเลือกได้ด้วย ไม่มีอะไรมาจำกัดเรา
การเล่าเรื่องราวให้เลือกสิ่งที่คนจะสนใจ โดยอย่าพยายามขายของตรง ๆ ตัวอย่างเช่น McDonald เปิดเพจสำหรับรวมคนรักพนักงานคนหนึ่งชื่อ May ของ McDonald คนก็มาแชร์รูป แชร์ประสบการณ์ที่ได้ไปซื้อของจาก May กันในเพจ เราต้องหา May ของแบรนด์เราให้เจอ
4. Be Authentic. จงเป็นตัวของตัวเอง
รวมลักษณะนิสัยของ Brand แบบต่าง ๆ – Why it pays to be likeable
การที่แบรนด์มีลักษณะนิสัย มีความเป็นตัวของตัวเองจะทำให้แบรนด์ดูเป็นคนจริง ๆ ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของเรา ทำให้แบรนด์แข็งแกร่งมากขึ้น
5. Advertise (Better) โฆษณาอย่างฉลาด ทุกวันนี้เราลงโฆษณาไปคนก็มองผ่าน เพราะฉะนั้นต้องนำเสนอ Content ไปยังกลุ่มที่จะสนใจ โดย Content นั้นอาจจะเป็นโฆษณา หรือไม่ใช่โฆษณาก็ได้
คุณ Dave แนะนำการ Targeting ในโฆษณาของ Facebook ที่สามารถระบุกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดมาก ไม่ว่าจะเป็น ประเทศ เมือง อายุ เพศ สถานที่ทำงาน ฯลฯ ซึ่งเค้าก็ยกตัวอย่างโดยการที่เค้ายิง Facebook Ads ไปบอกรักภรรยาของเค้า โดยกำหนด Targeting แบบละเอียดมาก ๆ
นอกจากนั้นสิ่งที่ Facebook Ads ทำได้ แต่โฆษณาแบบทั่วไปทำไม่ได้ คือ
“การแนะนำจากเพื่อน” จะเห็นว่า Facebook Ads มีกำกับไว้เหนือโฆษณาเสมอว่าเพื่อนของเราชื่อนั้น ชื่อนี้ like เพจนี้อยู่ พอเราเห็นเพื่อน like คนเราก็จะรู้สึกเชื่อถือ Ads นั้นมากขึ้น เหมือนได้รับคำแนะนำจากเพื่อนจริง ๆ
6. Provide Value. For Free. หัดแจกของฟรีบ้าง เราต้องแยกระหว่างการให้ Value (คุณค่า) กับการทำ Marketing ธรรมดาให้ออก ถ้าเราลดราคา 10% ถือเป็น Marketing (เพราะรู้ ๆ กันอยู่แล้วว่าเราลด 10% ก็ยังกำไร) แต่ถ้าเราลด 50% ถึงจะเรียกว่าเป็น Value สำหรับลูกค้าจริง ๆ
ยิ่งถ้าลด 100% หรือแจกฟรี ก็เป็นเทคนิคการสร้างลูกค้าที่ซื่อสัตย์ชั้นดีเลยทีเดียว คุณ Dave ใช้วิธีให้ความรู้ฟรีทุกวัน แจก E-Book, Webinar ฟรี เมื่อเค้าติดตามเราบ่อย ๆ ก็จะมาอุดหนุนสินค้าและบริการของเราไปเอง
7. Be Grateful ขอบคุณลูกค้าบ่อย ๆ คุณ Dave จะเซอร์ไพรซ์ลูกค้าด้วยการเขียนจดหมายขอบคุณด้วยลายมือ ส่งไปถึงลูกค้าทุกปี ซึ่งก็จะทำให้ลูกค้าจำเราได้ และกลับมาซื้อสินค้า มาใช้บริการเราอยู่เรื่อย ๆ
นอกจากนั้นการเขียน Thank You Card ยังทำให้เราคิดบวก และจิตใจดีอีกด้วย
5. Youtube Marketing – เทคนิคเด็ดทำการตลาดด้วยวีดิโอ Youtube <blockquote>Strategy ง่าย ๆ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำ Youtube ของแบรนด์ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ Hero, Hub, Hygiene</blockquote> Session นี้เป็นของพี่อ้อ พรทิพย์ กองชุน หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Google ประเทศไทย จะมาแนะนำว่า Youtube ทำให้การทำการตลาดเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง
คนไทยดู Youtube ผ่านมือถือกว่า 81%
“ทั่วโลกมีผู้ใช้ Youtube กว่า 1 พันล้านคน และมีการ Upload Content กว่า 300 ชั่วโมงต่อนาที” – Youtube Marketing
ในอดีต คนดู Youtube บนมือถือเป็นแค่ 1/3 ของ Traffic ทั้งหมดเท่านั้น แต่พอมาถึงปัจจุบันคนดู Youtube ผ่านมือถือสูงขึ้นเป็น 81% โดยจากการสำรวจพบว่าคนถึง 87% มอง Youtube เป็นศูนย์รวมด้านวีดิโออันดับ 1 และมีถึง 67% ของผู้ใช้ Youtube ที่ค้นหาข้อมูลสินค้า บริการต่าง ๆ อ่านรีวิว ฯลฯ นอกเหนือจากการใช้เพื่อ Entertainment
ประเภท Content ที่คนไทยชอบดูมากที่สุด 3 อันดับแรกก็หนีไม่พ้นหมวด “เพลง MV” 62%, “ภาพยนต์” 55%, และ “ละคร” กับ “ตลก” ซึ่งอยู่ที่ 44%
Youtube Content Creator ในไทย ปี 2015 เราเรียกคนที่ทำวีดิโอลงใน Youtube ว่า Youtuber หรือ Content Creator ซึ่งจะจัดอันดับตามจำนวนผู้ติดตาม (Subscriber) อันดับ 1 ของโลก คือ
Pewdiedie นักแคสเกมที่มีคนติดตามถึง 35 ล้านคน โดยทั่วโลกมีเพียง 687 Channel เท่านั้นที่มีผู้ติดตามเกิน 1 ล้านคน
ในประเทศไทยมี 13 Channel ที่มีผู้ติดตามเกิน 1 ล้านคน แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็น Channel ที่เกี่ยวกับเพลง เช่น GMM Grammy, LoveIs, RS, Rsiam, Kamikaze, The Voice Thailand ส่วนที่ไม่ใช่หมวดเพลงก็จะมีของ VRZO
5 เทคนิคเด็ดจากโฆษณา Youtube ที่ประสบความสำเร็จ พี่อ้อแนะนำเทคนิคจากโฆษณา Youtube ที่ประสบความสำเร็จในปีก่อนมาให้ฟังกัน
1) โฆษณาใน Youtube สามารถใช้เวลาเท่าไหร่ก็ได้ในการเล่าเรื่องราว (Youtube Trueview ให้ 3-5 นาที) ไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาเหมือนในโทรทัศน์, Billboard ถ้าเนื้อหาของคุณน่าสนใจจะยาวแค่ไหนคนก็ดูจบ
2) ถ้าจะเล่นกับเหตุการณ์สำคัญ (Event) ให้เล่นก่อนอีเว้นท์ หรือหลังอีเว้นท์ เท่านั้น เช่น โฆษณาของฟุตบอลโลก หรือ Superbowl เค้าพบว่าคนดู 75% มาจากก่อนและหลังอีเว้นท์ ส่วน 25% ที่เหลือมาจากระหว่างอีเว้นท์
3) พอทำวีดิโอแนวไหนแล้วเกิด ก็ทำวีดิโอที่สอดคล้องกันออกมา เช่น แบรนด์ Evian ทำวีดิโอชื่อ
Baby & Me เป็นคนเต้นที่เห็นตัวเองเป็นเด็กในกระจก แล้วยอดวิวถล่มทลาย ทำออกมาได้ดีมาก ๆ
แนะนำให้ลองดูกันครับ
วีดิโอ Baby & Me (ยอดวิว 100 ล้าน) พอปีต่อมาก็เลยทำวีดิโอภาคต่อ เชื่อ Amazing Baby & Me เป็นสไปเดอร์แมนมาเต้นแทน ก็ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน แถมคนย้อนกลับไปดูวีดิโอเก่าทำให้ยอดวิวพุ่งอีกด้วย
วีดิโอ Amazing Baby & Me (ยอดวิว 20 ล้าน) 4) ทำวีดิโอที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ เช่น คนไทยชอบวีดิโอที่มีการเล่นกับ Emotion, Social Norm หน่อย ก็จะนิยมทำโฆษณาดราม่า พ่อตาย อะไรแบบนี้ออกมา โดยแบรนด์ที่ทำวีดิโอแนวนี้เก่ง ๆ ก็เช่นประกันชีวิตทั้งหลาย
5) แทนที่จะทำ Content ใหม่ที่เราไม่ถนัด ก็จับมือทำ Content กับผู้เชี่ยวชาญ เช่น Samsung ทำแคมเปญโดยให้เสือร้องไห้มาร้องเพลงให้ นอกจากนั้นในหมวดอื่น ๆ ก็มีการทำแบบนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหมวดสินค้าความสวยความงามที่จับมือกับ Pearypie บลอคเกอร์บิวตี้ชื่อดัง หรือวีดิโอแนวตลกก็จะจับมือกับ Fedfe เป็นต้น
สุดยอด Strategy ในการทำ Youtube ของแบรนด์
“ทำคลิป Viral มียอดวิวสูงเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ถ้าทำคลิปดี ๆ สม่ำเสมอจะยอดวิวสูงในระยะยาว” – Youtube Marketing
หลาย ๆ แบรนด์พยายามทำวีดิโอที่เกิด Viral ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะ Viral Video จะได้คนดูเยอะในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ที่ถูกต้องคือควรทำเป็นแบบ Content Creator ค่อย ๆ สร้าง Content ค่อย ๆ บ่มเพาะคนดูให้มากขึ้นทีละนิด ซึ่งจะทำให้ดีกับแบรนด์กว่าในระยะยาว
Strategy ง่าย ๆ ที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการทำ Youtube ของแบรนด์ ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ Hero, Hub, Hygiene
ตัวอย่างการทำ Hero, Hub, Hygiene ของ LEGO – Youtube Marketing
1)
Hero – วีดิโอหลักที่ดึงคนเข้ามาดูวีดิโออื่น ๆ ใน Channel เรา เช่น โฆษณา Commercial, วีดิโอ Launch สินค้าต่าง ๆ
ตัวอย่าง Video Hero ของ Volvo แคมเปญ Live Test (คนดู 77 ล้านวิว) 2)
Hub – วีดิโอที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือวีดิโอหลัก โดยอาจจะทำเป็นซีรีย์ หรือหนังสั้นเป็นตอน ๆ มีการอัพเดทสม่ำเสมอ เน้นทราฟฟิกจากที่คนชอบวีดิโอ Hero แล้วกดเข้ามาดูใน Channel
ตัวอย่าง Hub ของ Volvo ที่ทำเป็น Brian’s Truck Report วีดิโอทุก 1 สัปดาห์ 3)
Hygiene – วีดิโออื่น ๆ ที่ตอบคำถามต่าง ๆ ของผู้ใช้ เช่น วีดิโอประเภท Tips, How to, Customer Support ต่าง ๆ เน้นทราฟฟิกจากที่คนมาคำตอบโดยการ Search ใน Google หรือ Youtube
สำหรับใครที่อยากไปศึกษาเรื่อง Hero, Hub, Hygiene แบบเต็ม ๆ ก็สามารถไป Download PDF
The Youtube Creator Playbook for Brand ของ Youtube มาอ่านได้เลยครับ
ขอขอบคุณพี่อ้อที่ส่งสไลด์ในการบรรยาย Spark Conference มาให้ครับผม สามารถดูได้ด้านล่างเลยครับ
6. Digital Economy – อนาคตธุรกิจออนไลน์ในประเทศไทย <blockquote>สพธอ. วางตัวเป็น Promoter คอยช่วยโปรโมทธุรกิจที่มีอยู่แล้วให้โด่งดังยิ่งขึ้น และคอย Service ให้ความรู้ ให้ Tool กับธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อให้กลายเป็น E-Commerce ที่สมบูรณ์แบบ</blockquote> Session นี้เป็นของคุณสุรางคณา วายุภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริการ สพธอ. ซึ่งจะมาแนะนำ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ว่าเป็นใคร และจะมีบทบาทอย่างไรกับธุรกิจ E-Commerce ในไทย
ประเทศไทยเรายังอ่อนด้อยเรื่องอิเล็กทรอนิกส์
“ยอดขาย E-Commerce ในไทยเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านบาท” – Digital Economy
ธุรกิจ E-Commerce ในไทยมียอดขายโดยรวมมากขึ้นทุกปี แต่จากการจัดอันทั่วโลกพบว่าความพร้อมด้านอิเล็กทรอนิกส์ในไทยเป็นอันดับ 102 ของโลก, ความพร้อมของ ICT เป็นอันดับ 67 ของโลก, ความปลอดภัย Cybersecurity อันดับ 50 ของโลก
แต่เราก็มีเรื่องที่ติดอันดับท็อป ๆ เหมือนกันครับ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอันดับ 3 ของโลกที่อันตรายที่สุดในด้านออนไลน์ หรือเป็นประเทศอันดับที่ 2 ของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เว็บรัฐบาลโดนแฮคบ่อยที่สุด (พิมพ์ไปน้ำตาจะไหล)
สพธอ. มีหน้าที่อะไร ? สพธอ. เล็งเห็นถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะยกระดับ E-Commerce ในไทยให้ดีมากขึ้น จึงเข้ามาช่วยเหลือในทุก ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานให้ดีขึ้น (เช่น ความเร็วอินเตอร์เน็ต), ความปลอดภัย, ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ฯลฯ
นอกจากนั้น สพธอ. ยังจะสนับสนุน E-Commerce ให้เติบโตขึ้น โดยวางตัวเป็น Promoter คอยช่วยโปรโมทธุรกิจที่มีอยู่แล้วให้โด่งดังยิ่งขึ้น และคอย Service ให้ความรู้ ให้ Tool กับธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อให้กลายเป็น E-Commerce ที่สมบูรณ์แบบ
โดย สพธอ. ได้เปิดเว็บไซต์
Thaiemarket.com เพื่อให้ร้านค้ามาลงทะเบียนได้ และสพธอ. จะช่วยโปรโมท ช่วยให้เครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือของร้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าซื้อร้านนี้จะไม่โดนโกง
Panel Talk: Content Marketing ทำให้คนซื้อของได้ยังไง
“Content Marketing ทำให้เกิดการซื้อขายได้ยังไง” – Spark Conference
ช่วงสุดท้ายมีเป็นการพูดคุยของแขกรับเชิญทั้ง 3 ท่าน จาก Sanook! Online, Syndacast (Digital Marketing Agency), และ SCB ซึ่งจะเป็นการถาม-ตอบกันครับ ซึ่งก็มีสิ่งที่น่าสนใจดังนี้
จะขายของต้องใช้ Content แบบไหน คุณจันทร์เพ็ญ จันทนา จาก SCB เล่าว่าในการขายผลิตภัณฑ์ของ SCB จะมีการทำ Content 2 แบบ
1)
Content แบบตีหัวเข้าบ้าน คือ Content ที่เรียกร้องให้มีการซื้อสินค้าทันที ซึ่งเหมาะกับสินค้าประเภทหุ้น LTF ที่ต้องซื้อเพื่อลดภาษีปลายปีทันที
2)
Content แบบน้ำซึมบ่อทราย คือ Content ที่ค่อย ๆ สอนให้คนเข้าใจ และค่อย ๆ ให้ตัดสินใจ จะเหมาะกับสินค้าประเภทซื้อบ้าน, คอนโด ที่คนซื้อต้องใช้เวลาตัดสินใจพอสมควร
ทำโฆษณาในสื่อแบบเดิม ๆ หรือโฆษณา Online ดี โฆษณาในสื่อแบบเดิม ๆ เช่น โทรทัศน์ เป็นโฆษณาที่ต้องใช้เงินเยอะ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ ในทางกลับกัน โฆษณาแบบ Online มีจุดเด่นที่ความเร็วในการปล่อย และสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าที่เราต้องการได้ดีกว่า
สรุปงาน Spark Conference – Age of Expertise สิ่งที่เห็นได้ชัดจากงานนี้คือเรื่องของ
“Content is King” ที่พูดกันมาหลายปีแล้ว และยังคงเป็นความจริงต่อไป ถ้าสังเกตดูเว็บไซต์ในไทยชื่อดังที่คนเข้าบ่อย ๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาด้วย Content ทั้งนั้น มีไม่มากนักที่เกิดขึ้นมาได้ด้วย “Programming is King” หรือ “Design is King” (ยกเว้น Designil.com #ผิดๆ)
พอมาถึงยุค Social Media การทำ Content ก็ยังคงสำคัญต่อไป แค่เปลี่ยนจากที่ลงในเว็บไซต์เราเองมาเป็นลงใน Facebook, Instagram, Youtube, Twitter แทน เพราะฉะนั้นการทำ Content Marketing ไม่ใช่เรื่องใหม่ซะทีเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทำกันมานานแล้วและยังคงได้ผลดีอยู่
ซึ่งมางาน Spark Conference ครั้งนี้ก็ได้ความรู้และเทคนิคดี ๆ ในการทำ Content Marketing หลากหลายรูปแบบบนสื่อออนไลน์ และข้อมูล Insight ต่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ต้องขอขอบคุณ Speaker ทุกท่านในงานนี้แวะมาให้ความรู้ครับ
ขอขอบคุณสตาฟฟ์ Thumbsup.in.th พี่แบ็ง พี่มิหมี และท่านอื่น ๆ ที่ช่วยให้งานออกมาดีมาก ๆ ได้ความรู้เต็มอิ่ม ท้องก็อิ่ม ขนมอร่อยมาก
ที่มา:
http://www.designil.com/spark-conference-2015-summary.html