ต่อเนื่องมาจากบลอคที่แล้ว ที่ผมเล่าว่า
เว็บแจกรูปฟรี Unsplash มีค่าใช้จ่าย 600,000 บาท / เดือน และมีหลายท่านสนใจว่าคนทำ Unsplash หาเงินได้ยังไง ผมเลยไปติดต่อบริษัทที่ทำ Unsplash มาเล่าให้ฟังครับ
บทความนี้ได้รับอนุญาตจาก Crew.co (บริษัทที่เป็นเจ้าของ Unsplash) ให้นำมาเล่าในภาษาไทยบนเว็บไซต์ Designil.com แห่งนี้ครับผม ท่านที่อยากฝึกภาษาอังกฤษ สามารถอ่านบทความต้นฉบับได้ที่ How side projects saved our startup ครับ จุดเริ่มต้นของเว็บแจกรูปฟรี Unsplash เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนนั้นบริษัท
Crew กำลังย่ำแย่ เนื่องจากเพิ่งเปลี่ยน Business Model และมีเงินเหลือพอใช้อีกเพียง 3 เดือนเท่านั้น ถ้าพวกเขาหาลูกค้าไม่ได้ก็จะต้องปิดบริษัทไป
ด้วยความที่เป็นบริษัทเปิดใหม่ แน่นอนว่ายังไม่มีใครรู้จัก เงินค่าโฆษณาก็ไม่มีสักบาท พวกเขาคิดกันอย่างหนักว่าจะทำยังไงให้บริษัทเติบโตได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด เช่นนี้
ทุก ๆ วิธีดูจะต้องใช้เวลาไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบลอค (หรือที่เราเรียกว่า
Content Marketing) ก็ใช้เวลาเยอะกว่าจะโต การจะทำให้ผู้คนแนะนำปากต่อปากได้ก็ต้องใช้เวลาและเงินมหาศาลในการเตรียมตัวเช่นกัน
ระหว่างที่พวกเขากำลังหาวิธีกันอยู่นั้น ก็ทำหน้า Home Page เว็บไซต์ไปด้วย ซึ่งในขณะที่กำลังหารูปถ่ายมาใช้ พวกเขาก็พบว่า
รูปถ่ายที่สามารถใช้บนเว็บได้ มักจะไม่สวย ไม่ก็ราคาแพงเกินไป หรือบางทีก็ทั้งไม่สวยแถมยังแพงด้วยทีมงานของ Crew เลยตัดสินใจจ้างตากล้องมืออาชีพมาถ่ายรูปเอง พวกเขาไปถ่ายกันที่ร้านกาแฟ และสุดท้ายเลือกใช้แค่รูปเดียวบนเว็บ เลยเหลือรูปที่ไม่ได้ใช้อีกเยอะแยะ จึงเกิดไอเดียว่า
น่าจะมีคนอื่น ๆ ที่เจอปัญหาเดียวกันกับพวกเขา เพราะฉะนั้นก็อัพรูปที่เหลือพวกนี้แจกฟรีซะเลยพวกเขาได้ซื้อธีม Tumblr ราคา $19 แล้วเปิดเว็บไซต์ที่แจกรูปฟรี 10 รูป พร้อมลิงค์กลับมายังหน้าเว็บบริษัท
หน้าตาเวอร์ชั่นแรกของเว็บไซต์ Unsplash
พวกเขาโปรโมทเว็บไซต์ผ่านทาง HackerNews ซึ่งเป็นแหล่งรวมลิงค์เด็ด ๆ บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้ใช้สามารถโหวตลิงค์ที่ตัวเองชื่นชอบได้ ยิ่งคะแนนเยอะยิ่งลิสต์อยู่ด้านบนสุด ในเว็บไซต์นั้นเต็มไปด้วยดีไซเนอร์, โปรแกรมเมอร์, และเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่น่าจะได้ประโยชน์จากเว็บไซต์นี้มากที่สุด
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขาก็ได้รับอีเมลฉบับหนึ่งจากช่างภาพ
ทางทีมงาน Crew ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงกลับไปเช็คที่ HackerNews และพบว่า…
เว็บไซต์ของเขาขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน HackerNews ไปแล้วผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเว็บไซต์มากขึ้นเรื่อย ๆ จาก 20,000 คน เป็น 50,000 คนใน 10 นาที และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหลาย ๆ คนก็กดคลิกเข้าไปที่เว็บบริษัท Crew แล้วจากนั้นลูกค้าก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นทีละคนสองคน
ผลตอบรับของ Unsplash บน Twitter
ไม่มีใครคิดว่าการเปิดเว็บไซต์แจกรูปที่ใช้เวลาทำ 3 ชั่วโมง กับเงิน $19 จะทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัท Crew และกลายเป็นช่องทาง
Growth Hacking ที่ทำให้บริษัทไม่มีชื่อกลายมาเป็นที่รู้จักในข้ามคืน
นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเว็บไซต์
Unsplash เว็บไซต์แจกรูปฟรีที่ผู้ชมมากกว่า 1,000 ล้านครั้งต่อเดือน
ทำไม Side Project ถึงเป็นช่องทาง Marketing ที่ดี ? ถ้าวิเคราะห์จากฝั่ง Business อาจจะรู้สึกว่า Side Project เป็นสิ่งที่ไม่ดี
เพื่อที่จะเปลี่ยนข้อสงสัยนี้ เราต้องมองว่า Side Project หมายถึงงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลัก แต่ถ้ามันเป็นโปรเจคที่ช่วยสร้างคุณค่าให้บริษัท หรือให้งานหลักของเราได้
จริง ๆ แล้วมันคือโปรเจคที่ช่วยเพิ่มช่องทาง Marketing เหมือนกับการเขียนบลอคต่างหากการทำ Side Project เพื่อโปรโมทตัวเอง เป็นวิธีที่พบเห็นได้บ่อย โดยเฉพาะในวงการ Freelance แม้แต่ในประเทศไทย คุณ
Buatoom ฟรี แลนซ์ Graphic Designer ชื่อดัง ก็เคยเล่าว่าเค้าใช้วิธีแจกของฟรีบน Dribbble เพื่อให้คนได้เห็นงานของเค้า และทำให้ได้ลูกค้ามาหลายรายมาจ้างเค้าทำกราฟฟิกในที่สุด
เซ็ตไอคอนแจกฟรีโดย คุณ Buatoom :
IconStore สิ่งที่เกิดขึ้นกับ Crew ก็เช่นกัน จากเมื่อก่อนที่ไม่เคยมีใครรู้จัก พวกเขาก็หาวิธีที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วแบบ Tech Startup อื่น ๆ ซึ่งสุดท้ายก็มาค้นพบว่าการทำ Side Project ช่วยพวกเขาได้อย่างมหาศาล
นอกจากโปรเจค Unsplash พวกเขายังมีอีกหลาย Side Project ที่ทำขึ้นมาแล้วกลายเป็นช่องทางการโปรโมทบริษัท ลองมาดูโปรเจคต่าง ๆ ของพวกเขาเป็น Inspiration กันครับ
4 Side Projects เด็ด ๆ ที่ทำให้ Crew เติบโตอย่างรวดเร็ว หลาย ๆ บริษัทที่มีชื่อเสียงล้วนเห็นประโยชน์ของการทำ Side Project อย่างที่เราพบได้ใน Google ซึ่งให้เวลาพนักงาน 20% ในการทำโปรเจคอะไรก็ได้ที่ชอบ ซึ่งการทำ Side Project นอกจากเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานที่มาทำโปรเจคด้วยกันแล้ว ยังก่อให้ เกิดไอเดียดี ๆ อีกด้วย
ในช่วงเวลา 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา ทางทีมงานของ Crew ก็ได้ทำ 4 Side Projects ที่สร้างคุณค่าให้บริษัท โดยแต่ละโปรเจคนั้นไม่ต้องทำ Model ในการหาเงินของตัวเองเลย ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้างครับ
Unsplash เว็บไซต์แจกรูปฟรี ไม่ติดลิขสิทธิ์
รูปสวย ๆ พวกนี้ดาวน์โหลดไปใช้ได้เลยฟรี ! ไม่ติดลิขสิทธิ์
แน่นอนว่า
Unsplash เป็นโปรเจคอันดับ 1 ที่มีผู้ใช้มากมายจากหลากหลายอาชีพ รูปภาพใน Unsplash ถูกเอาไปใช้กับสื่อแทบทุกประเภท ผลจากการทำ Unsplash คือ
- เว็บไซต์อันดับ 1 ที่หาลูกค้ามาให้ Crew
- ผู้ชม 5 ล้านคน
Launch This Year บทเรียนฟรีสอนทำธุรกิจ โปรเจค
Launch This Year รวมบทเรียนฟรีจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เช่น เจ้าของ AngelList หรือเจ้าของ KISSMetrics ที่อัพเดทใหม่ทุกสัปดาห์
- เว็บไซต์ดัง ๆ ล้วนพูดถึง เช่น VentureBeat, Digital Trends, Lifehacker, และ Tech Vibes
- ผู้สมัครรับอีเมลกว่า 20,000 คน
How Much to Make An App เว็บช่วยคำนวณค่าทำแอพ โปรเจค
How Much to Make An App นี้ผม (Designil.com) ชอบมากครับ เป็นหน้าเว็บไซต์ที่ช่วยคำนวณราคาแอพโดยให้เลือกฟีเจอร์ เช่น คุณจะลงทำแอพ Platform ไหน, มีระบบล็อกอินมั้ย, หาเงินทางไหน ฯลฯ แล้วจะคำนวณราคามาให้
ส่วนที่เด็ดที่สุด คือ
พอคำนวณราคาเสร็จแล้ว เราสามารถกดจ้างคนทำแอพในเครือข่ายของ Crew เพื่อเริ่มทำได้เลย - เว็บไซต์อันดับ 2 ที่หาลูกค้ามาให้ Crew
- 25% ของผู้ใช้บริการ Crew มาจากช่องทางนี้
- ผู้ชม 1 ล้านคน
Moodboard เว็บไซต์สำหรับแชร์ไอเดียในทีม โปรเจค
Moodboard เป็นระบบสำหรับเวลาคุยไอเดียกับลูกค้าตอนจะออกแบบงานใด ๆ ก็สามารถสร้าง Moodboard ของตัวเองแล้วแชร์ Reference ต่าง ๆ กันได้
- เว็บไซต์อันดับ 5 ที่หาลูกค้ามาให้ Crew
จะเห็นได้ว่าจากใน Side Project 4 ตัวของบริษัท Crew มีถึง 3 ตัวที่เป็นช่องทางหารายได้มาให้บริษัทอย่างสม่ำเสมอ
Side Project VS เขียนบลอค ทำอะไรดีกว่ากัน เชื่อว่านี่เป็นคำถามที่หลาย ๆ คนสงสัยครับ (แอดมินก็เช่นกัน) ทาง Crew เลยเอาสถิติของบลอคบริษัทมาเปิดเลย
สถิติของบลอค Crew
- เว็บไซต์อันดับ 3 ที่หาลูกค้ามาให้ Crew
- ผู้ชม 50,000 คน / เดือน
- ผู้รับสมัครอีเมล 3,600 คน
ถึงแม้จะเห็นว่าสถิติของบลอค Crew ค่อนข้างดี แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้เค้าใช้เวลาปีกว่า เขียนบทความ 85 บทความ ซึ่งถ้าเทียบกับ Side Project ทั้งหลายด้านบนแล้วจะเห็นว่า ROI (Return of Investment = ผลตอบแทนจากการลงทุน) ของโปรเจคด้านบนดีกว่าการเขียนบทความมาก
การสร้างเครื่องมือ (หรือ Side Project) มักจะใช้เวลาน้อยกว่าการเขียนบลอคดี ๆ สักบลอค และสร้างผลกระทบในวงกว้างกว่า ซึ่งถ้าคุณอยากเติบโตให้ไว คุณก็ต้องคิดว่าสิ่งที่คุณทำมี
“ผลกระทบ” มากน้อยแค่ไหน
และเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า
Side Project มีอายุนานกว่าการเขียนบลอค ตัวอย่างเช่น Unsplash มีทราฟฟิกกว่า 50% เป็นผู้ใช้ที่เคยเข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว (Returned Visitor)
ผู้ใช้กว่าครึ่งของ Unsplash ในเดือนนี้ คือผู้ใช้ที่เคยเข้ามาใช้แล้ว
ส่วนการเขียนบลอค คุณต้องเขียนให้มีคุณภาพดี ๆ หลายบทความ และเขียนติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ถึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ตอนนี้ทีมงานของ Crew ก็ยังเขียนบทความอยู่เรื่อย ๆ แต่พวกเขาก็คิดเสมอว่า…
มีอะไรที่เราทำได้นอกจากการเขียนบลอค เพื่อที่จะทำให้มันมีประโยชน์มากขึ้นมั้ยที่มา: http://www.designil.com/side-project-unsplash.html