ผู้เขียน หัวข้อ: 7 กฎการออกแบบ UI Design ให้สวยงาม สำหรับ Non-Designer (ตอน 2)  (อ่าน 1176 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ smf

  • [color=green][i]"ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายอย่างง่ายๆ ให้คนอื่นเข้าใจได้แล้วล่ะก็ แสดงว่าคุณยังเข้าใจมันไม่ดีพอ"[/i][/color]
  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,368
  • พอยท์: 5
    • ดูรายละเอียด
    • pordoo.com
    • อีเมล์
บทความนี้เรียบเรียงมาจาก 7 Rules for Creating Gorgeous UI ซึ่งเขียนโดยคุณ Erik D. Kennedy ที่เรียนจบวิศวะ แต่มาทำงาน UX Designer และอยากหัดเรียนดีไซน์แต่พบว่ามันช่างยากเหลือเกิน เค้าเลยศึกษาเยอะมากจนพบกับ 7 กฎการดีไซน์ที่ใครก็เข้าใจได้ง่าย นั่นคือ
 7 กฎการออกแบบ UI ให้สวยงาม ที่ใครก็เรียนรู้ได้
  • แสงต้องมาจากบนฟ้า (อ่าน ตอนที่ 1)
  • เริ่มด้วย ขาว-ดำ เสมอ (อ่าน ตอนที่ 1)
  • เพิ่ม Whitespace (ช่องว่าง) เป็นสองเท่า
  • เทคนิคการวางตัวหนังสือบนรูป ไม่ให้จม
  • เพิ่ม – ลด ความเด่นของตัวหนังสือ
  • เลือกใช้ฟ้อนต์ให้เหมาะสม
  • ขโมยอย่างศิลปิน
กฎข้อ 3 : เพิ่ม Whitespace เป็น 2 เท่า Whitespace หมายถึงพื้นที่โล่ง ๆ รอบ ๆ ทุกจุดในงานดีไซน์นั่นเอง เคยเป็นมั้ยครับว่าเราทำ Web Design ออกมายังไงมันก็ดูอึดอัด ติดกันไปหมด พยายามยัดทุกอย่างเข้าไปในกล่องเดียว (เทรนด์ดีไซน์สมัยก่อนเป็นแบบนั้นครับ ซึ่งเว็บไทยบางเว็บก็ยังเป็นอยู่) แต่ เทรนด์ดีไซน์เว็บสมัยใหม่ เน้นความง่าย สบายตามากกว่า งานเว็บดีไซน์ในยุคนี้จึงเน้นเรื่อง Whitespace
 เว็บดีไซน์สไตล์ไทย ๆ MThai height=676 เว็บไซต์ MThai ใช้เว็บดีไซน์สไตล์ไทย เน้นเนื้อหาเยอะ ๆ
  คุณ Erik บอกว่าคนเป็นโปรแกรมเมอร์อาจจะชินกับการเขียนโค้ดบรรทัดติด ๆ กัน ไม่มีการแบ่งย่อหน้าให้สวยงาม แถมยิ่งยืดหน้าโปรแกรมโค้ดก็ยาวตามจอได้ด้วย แบบนั้นถ้าเรื่องความสวยงามถือว่าแย่มากครับ ถ้าอยากทำ UI ที่ดูแล้วรู้สึกว่าผ่านการดีไซน์มาแล้ว ต้องมีพื้นที่โล่งเยอะ ๆ บางครั้งก็ต้องเยอะมาก ๆ ด้วย
ลองมาดูตัวอย่างการใช้ Whitespace กันครับ
Music UI Design Concept height=800
รูปนี้เป็น Music UI – UI Design Concept โปรแกรมเล่นเพลง ผลงานของคุณ Piotr Kwiatkowski ถ้าดูดีไซน์แบบคร่าว ๆ จะเห็นว่าหน้าตาดูดี ข้อมูลไม่แน่นจนเกินไปครับ ทีนี้มาลองซูมดูรายละเอียดเมนูด้านซ้ายกัน
Music UI Design Left Menu height=558
สังเกตว่าระยะห่างแนวตั้งระหว่างแต่ละเมนู มีความสูงประมาณ 2 เท่าของขนาดตัวอักษร (12px) เลยครับ ! หรือระยะห่างแนวตั้งระหว่างหัวข้อ (Genres หรือ Soundtrack) กับเส้นใต้หัวข้อก็สูงถึง 15px เลย ด้วยการใช้ Whitespace เยอะทำให้งานออกมาดูไม่แน่น อ่านสบาย ๆ และสวยด้วยครับ
Forum UI Design Concept height=600
อีกตัวอย่างอันนี้เป็น Forum Design – UI Design ของคุณ Matt Sisto ที่มีการใช้ Whitespace เยอะมาก และออกมาดูหรูหราไฮโซมาก
จำไว้ว่าพยายามใส่ Whitespace ในทุก ๆ อย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือแต่ละบรรทัด, ระยะห่างระหว่าง Element ต่าง ๆ บนหน้าเว็บ / แอพ, ระยะห่างระหว่างกลุ่ม Element ต่าง ๆ บนหน้าเว็บ / แอพ ฯลฯ จะทำให้งานออกมาดูดีขึ้นในทันที
 กฎข้อ 4 : เทคนิควางตัวหนังสือบนรูป เทคนิคการวางตัวหนังสือบนรูปให้ดูดีนั้นมีไม่กี่วิธีที่ใช้กันครับ ซึ่งหลาย ๆ คนที่เป็นดีไซเนอร์โดยสายเลือดก็ยังทำพลาดตรงจุดนี้ (และคนที่ไม่ใช่ดีไซเนอร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ เมื่อก่อนแอดมินนี่พลาดบ่อยเลยครับ)
 Otter Surfboard Web Design height=495 Web Design ของเว็บไซต์ Otter Surfboard ซึ่งวางตัวหนังสือบนรูปตรง ๆ เลย จนคำว่า US นี่เกือบอ่านไม่ออก
  กฎในการวางตัวหนังสือบนรูปให้ดูดี มี 3 ข้อหลัก ๆ ครับ:
 
  • รูปพื้นหลังต้องสีเข้ม – และมีจุดที่สีตัดกันไม่เยอะ (สมมติถ้าพื้นหลังเป็นตารางหมากรุกขาว – ดำนี่วางยากเลยครับ)
  • ตัวหนังสือต้องสีขาว – คุณ Erik บอกว่าถ้าอยากได้เว็บสวย ๆ คลีน ๆ จะเป็นตัวหนังสือสีขาวหมดครับ สังเกตจากเว็บทั่วโลกได้เลย (แอดมินว่าตัวหนังสือดำก็ได้ครับ แต่ข้อ 1. จะตรงข้ามกัน คือ รูปพื้นหลังต้องสว่างมาก)
  • ทดสอบทุกขนาดหน้าจอ – ว่าย่อขยายแล้วมีขนาดหน้าจอไหนที่ตัวหนังสืออ่านไม่ออกมั้ย (หลัง ๆ คนชอบใช้ CSS3 Background-Size: Cover กันครับ ทำให้รูปมันขยายขนาดอัตโนมัติตามขนาดความกว้างจอ และอาจมีหน้าจอบางขนาดที่ Contrast ระหว่างตัวหนังสือกับพื้นหลังต่ำจนอ่านไม่ออกพอดี)
เทคนิคที่ 1 : ใช้สีทับรูปพื้นหลัง (Overlay) เทคนิคนี้ทำได้ง่าย ๆ เลยครับ ไม่ว่ารูปจะสว่างเกินไป หรือมีจุดที่สีตัดกันเยอะมากจนวาง Text ขาวแล้วไม่สวย เราก็เอาสีกึ่งโปร่งใสมาทับรูปซะเลย ควรเป็นสีเข้มเท่านั้นเพราะจะทำให้ Text ขาวดูชัดครับ ซึ่งสีที่ฮิต ๆ กันก็คือ สีดำกึ่งโปร่งใส ครับ
 Upstart Website Design height=576 เว็บไซต์ Upstart มีการใช้สีดำโปร่งใสประมาณ 30% เพื่อให้ตัวหนังสืออ่านง่ายขึ้น
  อย่าลืมว่าสีพวกนี้ใช้ CSS3 RGBA ทำได้นะครับ ไม่ต้องพึ่งโปรแกรมกราฟฟิกใด ๆ เลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะใช้รูปพื้นหลังแบบไหน เอากล่องสีดำโปร่งใสที่เราเตรียมไว้มาทับก็สามารถใส่ Text ขาวแล้วสวยทันทีครับ
นอกจากรูปพื้นหลังใหญ่ ๆ แล้ว เทคนิคนี้ก็สามารถใช้ได้กับรูปเล็ก ๆ เช่นกันครับ เทคนิคนี้มีการนำไปใช้ในหลายเว็บไซต์มากครับ
 Charity Water Thumbnail Design height=339 เว็บไซต์ Charity Water มีการใส่สีดำโปร่งใสบนรูป ตัวหนังสือจึงออกมาอ่านง่ายมาก
  เทคนิคที่ 2 : ใส่ตัวอักษรไว้ในกล่อง เทคนิคนี้ง่ายยิ่งกว่าเดิม และการันตี 100% ว่าอ่านออกแน่นอน โดยเฉพาะใส่ตัวหนังสือขาวในกล่องพื้นหลังสีดำ (หรือสีดำแบบโปร่งใสก็ได้ ดูทำให้ดูมีระดับขึ้นอีกหน่อย) โดยพื้นหลังกล่องจะเป็นสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำก็ได้นะครับ
 UI Design App Honolulu height=299 ตัวอย่างงานดีไซน์แอพ Modern Honolulu ของคุณ Miguel Oliva Márquez
  เทคนิคที่ 3 : เบลอรูปพื้นหลัง เทคนิคนี้มาพร้อมกับตอน iOS7 ที่ใช้พื้นหลังเบลอ ๆ กับตัวหนังสือครับ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าการวางตัวหนังสือบนรูปที่เบลอนี่อ่านง่ายสุด ๆ
iPhone Notification Thai Design height=960
ซึ่งเราสามารถเลือกเบลอพื้นหลังทั้งรูปเลย แล้ววางตัวหนังสือลงไปก็ได้ หรือจะใช้วิธีเบลอเฉพาะจุดที่อยู่ไกล และ Focus จุดที่อยู่ใกล้ (เหมือนรูปที่ถ่ายจาก DSLR เลนส์ Fix พื้นหลังละลาย) ก็ได้ครับ แต่ต้องอย่าลืมวางตัวหนังสือไว้ในส่วนที่เบลอเสมอ
 Teehan Lax Web Design height=548 เทคนิคการใช้รูปแบบเบลอเฉพาะพื้นหลัง จากเว็บไซต์ Teehan+Lax
  เทคนิคที่ 4 : Fade บาง ๆ ด้านล่าง (Floor Fade) เทคนิคนี้คล้าย ๆ กับเทคนิคที่ 1 ที่เราเอาสีดำโปร่งใสทับรูปไปเลย แต่เทคนิคนี้ Floor Fade นี้จะทับเฉพาะส่วนล่างที่มีตัวหนังสือ แล้วค่อย ๆ ไล่สีออกจนมองไม่เห็นครับ
 Medium Banner height=386 ตัวอย่างดีไซน์แบบ Floor Fade ของ Medium
  อาจจะมองไม่เห็นกัน กดดูรูปใหญ่จะเห็นได้ชัดขึ้นอีกหน่อยว่ามีสีดำบาง ๆ ใต้รูปครับ และทำให้ตัวหนังสืออ่านง่ายขึ้นมาก นอกจากนั้นเว็บ Medium ก็มีการใส่เงาตัวหนังสืออีกหน่อยด้วย ยิ่งทำให้อ่านง่ายมากขึ้นไปอีกครับ
และสำหรับใครที่สงสัยว่าทำไมสีดำต้องมาจาก “ด้านล่าง” ให้กลับไปอ่าน กฎข้อ 1 : แสงต้องมาจากบนฟ้า ใหม่อีกรอบครับ การใส่สีเข้มไว้ด้านล่างจะทำให้เราดูแล้วไม่รู้สึกแปลกนั่นเอง เพราะไม่ขัดกับแสงธรรมชาติ
 กฎข้อ 5 : เพิ่ม – ลด ความเด่นของตัวหนังสือ การวางตัวหนังสือลงไปในรูปนี่ยากแล้ว แต่การเลือกน้ำหนักให้ตัวหนังสืออย่างเหมาะสมนี่ยากกว่าอีกครับ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ตัวหนังสือเราดูเด่นขึ้น หรือเด่นน้อยลงครับ
สิ่งที่เราสามารถใช้ได้ และแนะนำให้ใช้ คือ:
 
  • เปลี่ยนขนาดตัวหนังสือ
  • เปลี่ยนสีตัวหนังสือ
  • ปรับตัวหนา-บาง
  • ใช้ตัวพิมพ์เล็ก – ตัวพิมพ์ใหญ่ (ในภาษาไทยเราไม่มีนะครับ แต่ในภาษาอังกฤษการใช้ตัวพิมพ์เล็ก – ใหญ่ก็สร้างความแตกต่างได่ง่าย)
  • ใช้ตัวเอียง
  • เปลี่ยนระยะห่างตัวหนังสือ (หรือ CSS letter-spacing นั่นเอง)
  • เปลี่ยนระยะห่างของกล่อง (หรือ Margin ใน CSS นั่นเองครับ อาจจะไม่เกี่ยวกับตัวหนังสือโดยตรง แต่ก็ทำให้เกิด Whitespace ที่ทำให้ตัวหนังสือดูดีได้)
  • การใช้ตัวหนังสือมีหาง (Serif) – ไม่มีหาง (Sans-serif) (สำหรับภาษาไทย น่าจะเป็นแบบมีหัว – ไม่มีหัวมากกว่าครับ ลองดูรูปด้านล่างประกอบ)
ฟ้อนต์ไทยแบบมีหัว กับฟ้อนต์ไทยแบบไม่มีหัว height=405แน่นอนว่ามีบางอย่างที่ ไม่แนะนำให้ใช้  ได้แก่ การขีดเส้นใต้ (เพราะคนจะเข้าใจผิดว่าเป็นลิงค์, เปลี่ยนสีพื้นหลังตัวหนังสือ (เพราะทำให้อ่านยาก), ขีดกลางใส่ตัวหนังสือ (เพราะเหมือนตัวหนังสือถูกขีดฆ่า)
เวลาเราตกแต่งตัวหนังสือแล้วเจอปัญหาว่าไม่รู้จะทำยังไงให้มันดูดี ลองกลับไปไล่ลิสต์ข้างบนใหม่อีกครั้งครับ บางทีเราอาจจะลืมลองปรับสีให้เข้มขึ้น หรือลองใช้ตัวเอียงมาช่วยในงานดีไซน์ก็เป็นได้
 ทำอย่างไรให้ตัวหนังสือในดีไซน์เด่นขึ้น หรือเด่นน้อยลง การทำให้ “เด่นขึ้น” อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เป็นการทำให้ตัวหนังสือจุดนั้นมองเห็นได้ชัดเจนกว่าจุดอื่น ไม่ว่าจะเป็นการทำตัวหนังสือใหญ่, ฟ้อนต์หนา, ตัวพิมพ์ใหญ่ ฯลฯ
ส่วนการทำให้ “เด่นน้อยลง” เป็นการทำให้ตัวหนังสือจุดนั้นมองเห็นได้ยากกว่าจุดสำคัญอื่น ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ตัวหนังสือเล็ก, ฟ้อนต์บาง, ลด Contrast ฯลฯ
มาดูตัวอย่างของจริงจากเว็บไซต์ HUGE กันเลยครับ ซึ่งเป็น Agency ในต่างประเทศที่ดังมาก
Huge Website Header Material Design height=576
สังเกตตรงคำว่า Material Design ในเว็บไซต์มีการใช้เทคนิคที่ทำให้ตัวหนังสือดู “เด่นขึ้น” ไม่ว่าจะเป็น การใช้ฟ้อนต์หนา, ตัวหนังสือใหญ่, Whitespace เยอะ, Contrast สูง (ตัวหนังสือสีดำ ตัดกับสีขาวมาก) ดูเว็บไซต์นี้แล้วเห็นคำว่า Material Design ก่อนเพื่อนแน่นอน
ในหน้าเว็บไซต์เดียวกันนี้ ถ้าเลื่อนลงมาด้านล่างตรง Footer ก็จะพบเทคนิคการทำให้ “เด่นน้อยลง” ครับ
Huge Agency Website Footer height=293
สังเกตตรงเมนูด้านล่าง จะเห็นว่าเค้าใช้เทคนิคทำให้ตัวหนังสือ “เด่นน้อยลง” นั่นคือ ใช้ตัวหนังสือสีเทาบนพื้นหลังสีดำ ทำให้ Contrast ต่ำและอ่านได้ยากครับ นอกจากนั้นยังใช้ตัวหนังสือบางและเล็กอีกด้วย
หน้าเว็บไซต์ที่ดีต้องมีการบาลานซ์ทั้งส่วนที่เราทำให้ “เด่นขึ้น” และ “เด่นน้อยลง” อย่างพอเหมาะ ซึ่งในบางสถานการณ์เราอาจจะใช้ทั้งเทคนิคที่ทำให้ “เด่นขึ้น” และ “เด่นน้อยลง” ในจุดเดียวกัน เพื่อให้เกิดบาลานซ์ครับ
Bluhomes Website Design Low Contrast height=643
จากตัวอย่างเว็บไซต์ Bluhomes ด้านบน คำว่า CLIENT EXPERIENCE มีการทำให้ตัวหนังสือ “เด่นขึ้น” ด้วยการใช้ตัวใหญ่ แต่ก็มีการทำให้ “เด่นน้อยลง” ด้วยการใช้ตัวหนังสือบาง และสีเทาแทนสีดำด้วย เพื่อให้เกิดความบาลานซ์ในหน้าเว็บไซต์ ไม่ดูหนักเกินไปครับ
เวลาเราทำดีไซน์แรก ๆ อาจจะเจอปัญหาว่า ไม่รู้จะทำให้ตัวหนังสือตรงนี้ดูดีขึ้นยังไง ให้ลองปรับแก้ไปเรื่อย ๆ ดูครับ ดูตัวอย่างเยอะ ๆ แล้วเราจะจับจุดได้เองว่าต้องตกแต่งตัวหนังสืออย่างไร ทุกคนที่เก่งย่อมเคยผ่านจุดนั้นมาก่อนแล้วครับ
 กฎข้อ 6 : เลือกใช้ฟ้อนต์ให้เหมาะสม ฟ้อนต์เป็นตัวกำหนด Mood & Tone ของงานดีไซน์ที่สำคัญมากเลยครับ ฟ้อนต์แต่ละแบบให้ความรู้สึกแตกต่างกันไป นอกจากนั้นฟ้อนต์แบบเดียวกันก็มีหลายเกรด โดยเฉพาะฟ้อนต์ฟรีที่บางครั้งคุณภาพไม่ดีนัก เลยทำให้พวกบริษัทกราฟฟิก / Agency หันไปซบฟ้อนต์เสียเงินกันเยอะครับ (ส่วนฟรีแลนซ์ที่ใช้ฟ้อนต์เสียเงินแต่ไม่เสียตังค์ อันนี้เราจะไม่พูดถึง)
[ตัวอย่างฟ้อนต์ตระกูล DB Fonts สวยงามมาก และราคาพอรับได้ครับ]
ถ้าเราอยากทำงานดีไซน์ให้ดู Modern, Clean ก็ต้องเลือกฟ้อนต์ที่ให้สื่อไปในทางเดียวกันด้วยครับ น่าเสียดายว่าฟ้อนต์ไทยฟรี ๆ ที่สวย ๆ คลีน ๆ ยังมีไม่เยอะ ซึ่งแอดมินได้รวบรวม แหล่งโหลดฟ้อนต์ไทยฟรี ไว้ให้แล้วครับ คลิกได้เลย
ส่วนใครที่ใช้ Mac OS นี่สบายเลยครับ เพราะ Mac OS แจกฟ้อนต์ Sukhumvit Set ให้คนไทยฟรี ซึ่งเป็นฟ้อนต์เสียเงินชุดหนึ่งที่สวยงามมาก ๆ ดูหน้าตาได้จากใน เว็บไซต์ Apple เลยครับ
Google Fonts Free Library height=492
สำหรับฟ้อนต์ภาษาอังกฤษ แอดมินแนะนำของ Google Fonts กับ Fontsquirrel เลยครับ รวมฟ้อนต์ฟรีดี ๆ เอาไว้มากมาย ฟ้อนต์ที่แอดมินแนะนำ และใช้บ่อย ๆ คือ Lato, Open Sans, Bebas Neue, Montserrat, Raleway ครับ โดยเฉพาะ Open Sans นี่คิดอะไรไม่ออกก็พิมพ์ Open Sans เลยครับ ใช้ได้หลากหลายสถานการณ์มาก
 กฎข้อ 7 : ขโมยอย่างศิลปิน คุณ Eric D. Kennedy บอกว่าตอนที่เค้าเริ่มทำดีไซน์ใหม่ ๆ เค้าถึงได้รู้ว่าการจะทำให้ UI Element ง่าย ๆ อย่างพวกปุ่ม, ตาราง, Popup ฯลฯ ให้มันดูดีได้นั้นยากมาก เพราะฉะนั้นเค้าเลยใช้วิธีศึกษาจากเว็บไซต์ต่างประเทศเยอะ ๆ
UI Design Inspiration height=597
เว็บไซต์ที่เค้าแนะนำ คือ Dribbble, Flat UI Pinboard บน Pinterest, และ Pttrns ซึ่งมีอีกหลายเว็บไซต์ที่น่าสนใจครับ แอดมินขอแนะนำให้อ่าน 5 เว็บไซต์หา Inspiration เด็ด ๆ ที่ดีไซเนอร์ต้องเข้าทุกวัน เลยครับ
ดีไซน์เนอร์ที่เก่ง ย่อมต้องผ่านการเป็น ดีไซน์ที่ไม่เก่ง มาก่อนครับ และการลองทำดีไซน์ตามคนอื่นเพื่อศึกษาก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง (แต่ไม่ใช่ว่าลอกงานเค้าแล้วไปบอกว่าคิดเอง แบบนั้นไม่เอานะครับ แม้แต่นักดนตรีชื่อดังบางคนเวลาเพลงไปซ้ำกับใครเค้ายังกล้าบอกเลยว่า Inspiration มาจากไหน)
 สรุปการออกแบบ UI ให้ดูดี สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนจบครับ ถ้าอ่านบทความนี้จบ 3 รอบดีไซน์เก่งแน่นอน (พูดเล่นครับ แอดมินแนะนำให้เอาเวลาไปทำงานจริงเลยดีกว่า)
ถ้าคุณไม่ได้ทำงานสายดีไซน์ อ่านจบไปก็ลองนำเรื่องนี้ไปใช้กับงานของคุณดูครับ ถ้าคุณเป็นโปรแกรมเมอร์ อาจจะลองทำโปรเจคส่วนตัวขึ้นมา แล้วพยายามดีไซน์ให้มันออกมาดูดี อย่าไปคิดว่าการดีไซน์เป็นสิ่งที่ดีไซเนอร์ทำได้เท่านั้นครับ ถ้าเราตั้งใจเราก็ฝึกฝนได้เช่นกัน (เหมือนดีไซเนอร์บางคนที่อยากทำโค้ด แล้วมาหัดเขียนโค้ดครับ)
ถ้าคุณทำงานสายดีไซน์ หวังว่าบทความนี้จะเป็นลู่ทางที่คุณนำไปสอนคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ดีไซเนอร์ ให้ออกแบบเป็นได้ง่ายขึ้นนะครับ


ที่มา: http://www.designil.com/7-rules-beautiful-ui-design-part-2.html