ในสถานการณ์สังคมปัจจุบัน เรียกได้ว่า เป็นวงการที่รีบเร่งรีบ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว การดำเนินการ การทานอาหาร หลายๆ คนต้องออกจากที่อยู่แต่ยามเช้า กว่าจะกลับถึงที่พักอาศัยก็ปื้อค่ำ จนทำให้ไม่ค่อยได้ดูแลตนเองมากนัก ส่วนของการออกกำลังกาย เรียกได้ว่า เลิกคุยกันได้เลย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า คนไทยในวัยทำงาน มักมีปมสุขภาพกันมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของโรคภัยที่เกิดจากการไม่ดูแลพลานามัย ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเครียด และสำหรับความเจ็บไข้ที่กำลังได้รับความนิยมมาก โดยอาจจะไม่ได้ต้องการเท่าใดนักก็คือ เบาหวาน นั่นเอง ถือแน่ว่าหลายคนคงที่จะรู้จักมักคุ้นโรคนี้กันดีแล้ว แต่อาจจะไม่เคยสำนึกว่า เราจะมีโอกาสเป็นได้ เพราะก็ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารการกินหวาน สักเท่าใดซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โรคภัยชนิดนี้ เราไม่จำเป็นจะต้องต้องทานหวาน ก็มีทางเป็นได้เช่นกัน วันนี้ผมมีแนวสังเกตตนเองแบบไม่ยากๆ ว่ามีท่าทางดังกล่าวเหล่านี้หรือไม่ โดยหากมีท่าตามด้านข้างล่าง หลายหัวข้อ คุณก็ถือว่ามีความเสี่ยงมากครับผม
1. รู้สึกปวดชิ้งฉ่องบ่อย และหิวน้ำบ่อยมากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว คนเราจะลุกขึ้นไปเยี่ยวระหว่างวัน เพียงไม่กี่ครั้งแค่นั้น แต่อาจจะฉี่มากขึ้นเมื่อดื่มน้ำในจำนวนรวมมากแต่สำหรับบางคนที่มีความเสี่ยงเป็น เบาหวาน หรือว่าเป็นแล้ว ก็จะรู้สึกว่าตัวเองปวดปัสสาวะ จนต้องเข้าห้องสุขาบ่อยมาก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ที่จะต้องลุกขึ้นมาเข้าสุขาตลอด เมื่อตัวคุณเสียน้ำในปริมาณมาก ก็จะรู้สึกว่า ร่างกายต้องการน้ำ เกิดอาการกระหายน้ำที่มาที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ร่างกายของเราต้องการขับปริมาณน้ำตาลในโลหิต ออกมาทางปัสสาวะนั่นเอง ซึ่งสภาพดังกล่าว ถือว่าเป็นเครื่องหมายประเดิมของการเป็นโรคชนิดนี้ แต่ก็ไม่ได้เป็นตลอดนะครับ จะเป็นเฉพาะเวลาที่มีปริมาณน้ำตาลในโลหิตสูงกว่าปรกติเท่านั้น ร่างกายของเราก็จะเกิดอาการขับน้ำตาลออกมาเอง ถ้าเราสามารถดูแลปริมาณน้ำตาลในโลหิตให้เป็นปกติได้ ก็จบปัญหาในเรื่องนี้ครับผม
2. รู้สึกหิวบ่อย รับประทานอาหารการกินไม่เป็นเวลา แต่น.น.ลด สำหรับบางท่านแล้ว มุมานะหาวิธีการการต่างๆในการลดน้ำหนัก แทบตาย แต่ก็ลดได้แสนเข็ญมาก แต่สำหรับคนจำนวนหนึ่ง ไม่ต้องทำการอะไรมาก บริโภคอาหารปกติ หรือบางทีอาจจะกินในปริมาณมาก เพราะร่างกายหิวเรื่อย แต่น้ำหนักตัวกลับลดลงอย่างไว หากเป็นคุณในช่วงเบื้องต้นๆอาจจะรู้สึกดีที่สามารถลดน้ำหนักได้<span style=
line-height: 1.42857;
>แต่เวลาผ่านไป</span><span style=
line-height: 1.42857;
>ครู่หนึ่ง</span><span style=
line-height: 1.42857;
>หนึ่ง คุณก็จะเริ่ม</span><span style=
line-height: 1.42857;
>เคร่งเครียด</span><span style=
line-height: 1.42857;
>แล้วครับ เพราะ น้ำหนักลดลงไปอย่าง</span><span style=
line-height: 1.42857;
>ฉับพลัน</span><span style=
line-height: 1.42857;
> ชนิดที่ว่า</span><span style=
line-height: 1.42857;
>สัปดาห์</span><span style=
line-height: 1.42857;
>หนึ่งหลาย</span><span style=
line-height: 1.42857;
>โล</span><span style=
line-height: 1.42857;
>เลยทีเดียว</span>มูลเหตุที่ทำให้เรารู้สึกหิวบ่อยก็เพราะว่า มีปริมาณน้ำตาลในโลหิตต่ำ และร่างกายอยากได้น้ำตาล จึงทำให้เรารู้สึกหิวข้าวนั่นเอง แต่เมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว เพราะอะไรไม่อ้วน เชื่อแน่ว่าคุณอาจจะเคลือบแคลงในข้อนี้อย่างแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ประหลาดครับ เนื่องมาจากแม้ว่าจะได้รับปริมาณน้ำตาลเข้ามามาในร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถเอาไปใช้ได้นั่นเอง ส่งผลให้ร่างกายอยู่ในสถานะขาดสารอาหาร ต้องมีการดึงโปรตีนจากส่วนต่างๆมาใช้ ไตก็มีการทำงานอย่างหนัก และเผาแคลอรี่อย่างด่วน ทำให้น.น.ตัวลดนั่นเอง นี่คืออาการขั้นต้นของคนเป็น เบาหวาน นั่นเอง
3. มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง เป็นเชื้อราง่ายๆ และรอยแผลหายช้า คุณอาจจะเป็นข้อใดข้อหนึ่ง หรือไม่เป็นทุกข้อก็ได้ ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณกำลังเป็น
เบาหวาน ก็ได้ หลายคนที่มีปัญหาทางผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังแตก อาการคัน หรือมีรอยดำดำคล้ำ บริเวณรักแร้หรือคอ เราเรียกสภาวะนี้ว่า การดื้ออินซูลินในร่างกาย นั่นเอง หรือบางคนเวลาเกิดรอยแผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รอยแผลสด รอยแผลเปื่อย รอยแผลติดเชื้อ หรือบรรดาจ้ำต่างๆ แต่เรารู้สึกได้อย่างแจ่มแจ้งว่า บาดแผลหายค่อนข้างจะช้ามาก ถือเป็นความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูงมากมาย เช่นนี้ก็เพราะว่า ปริมาณน้ำตาลในโลหิตที่สูงมากของคนไข้โรคนี้ จะไปสร้างความเสียหายแก่เส้นโลหิต และทำให้ปริมาณเลือดไปเลี้ยงแผลตามร่างกายได้นิดหน่อย จึงทำให้รอยแผลหายช้า ซึ่งสมมติว่าขาดการดูแลที่ดีแล้ว อาจจะทำให้กลายเป็เบาหวาน