ผู้เขียน หัวข้อ: ประสิทธิภาพ USB Type-C  (อ่าน 152 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ spammer

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 139,825
  • พอยท์: 100
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ประสิทธิภาพ USB Type-C
« เมื่อ: 3 พฤษภาคม 2020, 08:44:14 »
สำหรับอุปกรณ์ไอทีต่างๆ พอร์ต USB ถือได้ว่าเป็นช่องทางพื้นฐานในการเชื่อมต่อที่สำคัญ ในช่วงปัจจุบันนี้เรียกว่าเครื่องมือไอทีมากมายประเภทจะจำต้องรองรับการเชื่อมต่อผ่านสาย USB ไม่ว่าจะใช้ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลต่างๆ หรือไว้สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ก็ตาม
โดยตัว USB เอง ก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปมากตั้งแต่ในอดีตจนกระทั่งช่วงปัจจุบัน ไม่เพียงแต่รูปร่างเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงแปลงในด้านความสามารถในด้านอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการถ่ายโอนไฟล์ที่โดยพลันมากยิ่งขึ้น และล่าสุดก็มีมาตรฐานการเชื่อมต่อรูปแบบใหม่อย่าง USB Type-C หรือ USB-C เข้ามาให้ใช้งานกันแล้ว และถัดไปวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะทยอยปรับแปรเปลี่ยนมาใช้ USB Type-C กันมากขึ้นตามลำดับ แต่ก่อนที่เราจะไปรู้จัก USB Type-C มาลองทำความเข้าใจกันดูก่อนดีกว่าว่า USB นั้น มีกี่แบบ และแต่ละรูปแบบมีความผิดแผกแตกต่างกันเช่นไร
 
สายชาร์จ USB Type-A 2.0
USB Type-A เป็น USB ที่เราน่าจะคุ้นเคยมากที่สุดในสมัยนี้ เพราะใช้กันอย่างแพร่หลายกับอุปกรณ์ต่างๆ เวอร์ชันแรกของ USB Type-A จะเป็นเวอร์ชัน 1.1 โดยถือกำเนิดในช่วงปี 1998 แต่ในยุคปัจจุบันนี้ USB Type-A 1.1 ได้ถูกแทนที่ด้วยเวอร์ชัน 2.0 ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ด้วยไฮเทคของเวอร์ชัน 2.0 สามารถถ่ายข้อมูลได้ทันทีกว่านั่นเอง
ส่วน USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 เริ่มมีการใช้งานตั้งแต่ปี 2008 แต่เนื่องจากในขณะนั้น วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่รองรับการใช้งาน USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 จึงทำให้ USB Type-A 3.0 ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
จนกระทั่งในช่วงปัจจุบันเกณฑ์ของ USB Type-A เวอร์ชัน 3.0 เป็นที่นิยมมากขึ้น และมีเครื่องมือรองรับมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเวอร์ชัน 2.0 อีกด้วย โดยความแตกต่างของเครื่องมือที่รองรับพอร์ต USB 3.0 ข้างในจะเป็นสีฟ้า เพื่อเป็นจุดสังเกตภายนอกที่แสดงถึงความต่างระหว่าง USB 2.0 กับ USB 3.0
 
สายชาร์จ[/url][/u] USB Type-A mini และ USB Type-A micro[/b]
ความแหวกแนวระหว่าง USB Type-A micro และ USB Type-B
เพื่อ USB Type-A mini ได้มีการเลิกใช้ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ส่วน USB Type-A micro ยังอาจจะมีอยู่ แต่พบเจอได้น้อยมาก มีเพียงไม่แค่กี่วัสดุอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบ USB Type-A micro และในปัจจุบันนี้ เวอร์ชันของ USB Type-A micro ได้พัฒนามาเป็นเวอร์ชัน 3.0 เช่นกัน
 
USB Type-B 3.0
ส่วน USB Type-B ที่ยังเห็นใช้กันอยู่ในปัจจุบัน อาจจะหนีไม่พ้นเครื่องปริ๊นเตอร์กับเครื่องสแกนเนอร์ โดยถ้าเป็นเวอร์ชัน 2.0 ก็หาได้ทั่วๆ ไปในช่วงปัจจุบัน ส่วนเวอร์ชัน 3.0 ก็มีการรองรับแล้วเช่นกัน
 
USB Type-B mini (ซ้าย) และ USB Type-B micro (ขวา)
USB Type-B mini จะใช้กับวัสดุอุปกรณ์รุ่นเก่า อย่างเช่นกล้องดิจิทัล ส่วน USB Type-B micro จะเป็นที่แพร่หลายมากกว่า เพราะโดยหลักๆ แล้ว สมาร์ทโฟนในสมัยปัจจุบันแทบทั้งหมดรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-B micro
 
USB Type-C ดีกว่าเช่นไร?
ล่าสุด USB ได้ถูกพัฒนาในเกณฑ์ใหม่ โดยใช้ชื่อว่า USB Type-C หรือ USB-C ซึ่งมาพร้อมทั้งเทคโนโลยี USB เวอร์ชัน 3.1 ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม และจะเป็นกฏเกณฑ์ใหม่ของวงการไอที และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานพอร์ต USB ที่จะจำต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งาน ส่วน USB Type-C มีการเปลี่ยนแปลงแปลงไปจาก USB ของเก่าอย่างไร และจะมีคุณลักษณะใดที่เหนือกว่า USB รุ่นเก่าบ้าง ต้องตามไปดูกัน
 

  • สามารถใช้งานกับวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากขึ้น


เรียกว่าเป็นที่น่าสับสนไม่น้อย ถ้าหากจำต้องการเลือกสรรซื้อสาย USB สักเส้น รวมไปถึงเมื่อเชื่อมต่อ USB เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เรียกว่าทุกคนอาจจะเคยพบปมปัญหาเกี่ยวกับการเสียบผิดด้าน เสียบไม่เข้า จนกระทั่งจำเป็นจะต้องเพ่งให้ดีกว่าเดิม ถึงจะเสียบเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ได้
แต่เพื่อปมปัญหาด้านบนจะหมดไป เพราะ USB Type-C หัวเชื่อมต่อสามารถเสียบได้ทั้งสองด้าน ไม่ว่าจะพลิกด้านบน หรือด้านล่าง คราวนี้ก็สามารถเสียบได้อย่างง่ายดาย ผิดกับ USB รุ่นก่อนๆ ที่จะต้องเสียบให้ถูกด้านนั่นเอง
 

  • USB Type-C มาพร้อมทั้งเวอร์ชัน 3.1 ที่ถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม


โดยหัวการเชื่อมต่อรูปแบบ USB Type-C จะมักมีรูปพรรณ และขนาดที่ใกล้เคียงกับ USB Type-B micro ซึ่ง USB Type-C มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีเวอร์ชัน 3.1 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลได้ชั้นเยี่ยมถึง 10 Gbps เรียกว่าสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้เร็วกว่าเดิมเป็นสองเท่าของ USB เวอร์ชัน 3.0 ที่สามารถถ่ายโอนไฟล์ได้ที่ 5 Gbps จึงทำให้ USB Type-C มีศักยภาพมากกว่าเดิมเพื่อการถ่ายโอนไฟล์ใหญ่ๆ อย่างเช่นวิดีโอความละเอียด 4K หรือการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับสมาร์ททีวี เพื่อเล่นเกมที่ต้องรองรับการการโอนข้อมูลจำนวนมากก็ตาม
 
USB Type-C รองรับการจ่ายไฟที่มากกว่า
ด้วยเทคโนโลยี USB Power Technology จึงทำให้ USB Type-C สามารถรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงถึง 20V, 5A นั่นหมายความว่าเครื่องมือใหญ่ๆ อย่างโน๊ตบุ๊คสามารถชาร์จผ่าน USB Type-C ได้เลย รวมไปถึงการถ่ายโอนไฟล์ก็สามารถทำได้ในเวลาเดียวกัน ส่วนบนเครื่องมือพกพาอย่างเช่นสมาร์ทโฟน ผลพลอยได้นี้จึงทำให้สมาร์ทโฟนต่างๆ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้โดยพลันขึ้นนั่นเอง
USB Type-C ได้รับการพัฒนาจากกลุ่ม USB Promoter Group ซึ่งมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในปลายปี 2014 ว่า ได้พัฒนา USB Type-C เป็นผลสำเร็จ และจะใช้ USB Type-C เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อกับเครื่องมือในอนาคต โดยในสมัยนี้ก็มีอุปกรณ์หลายประเภทที่รองรับการใช้งาน USB Type-C บ้างแล้ว ซึ่งคาดว่าในปลายปี 2015 จะเริ่มมีเครื่องมือที่รองรับการเชื่อมต่อกับ USB Type-C มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรือโน๊ตบุ๊คก็ตาม
เรียกได้ว่า USB Type-C จะเป็นอีกหลักเกณฑ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของวงการนวัตกรรม ซึ่งแน่ๆ ว่าในอนาคตนั้น เครื่องมือต่างๆ จะรองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB Type-C เพิ่มมากขึ้น และจะเริ่มมีการใช้งาน USB Type-C อย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
 

เครดิต : http://www.cheapnflwholesalejerseys.cc/index.php?topic=7993.new

Tags : สายชาร์จ,สายชาร์จ