ผู้เขียน หัวข้อ: พันธ์ยศ ร่วมเดินหน้าคลองกระ ชูเป็น เมกกะมรดก สู่ลูกหลาน  (อ่าน 150 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ minamiami

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 274
  • พอยท์: 100
    • ดูรายละเอียด
"พันธ์ยศ" ร่วมเดินหน้าคลองกระ
ชูเป็น"เมกกะมรดก"สู่ลูกหลาน

=========================


  นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ อดีตเลขาธิการพรรคภราดรภาพ ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ(คลองไทย) เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม (สคส.) กล่าวว่า เมื่อช่วงที่ผ่านมาตนได้ร่วมประชุมกับพล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ ถวิลหวัง ประธานคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการแห่งชาติ ศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระฯ ที่ก่อตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี 16 ตุลาคม 2544 (อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการ แห่งชาติศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและสังคม) โดยที่ผ่านมาการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ(คลองไทย) มีความคืบหน้าเป็นอย่างมากและมีผลการดำเนินงานโดยสังเขปเป็นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ซึ่งผลงานของคณะกรรมการแห่งชาติฯชุดดังกล่าว แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตอบคำถามกระทู้ที่002ร.ของสมาชิกวุฒิสภาที่สอบถามผ่านราชกิจจานุเบกษาวันที่11ก.พ.2564ว่า คณะกรรมการแห่งชาติฯ ชุดดังกล่าวได้บรรจุอยู่ในบัญชีรายชื่อคณะกรรมการที่ยกเลิกของกระทรวงคมนาคมไปแล้ว

  " แม้ว่าคณะกรรมการแห่งชาติฯชุดดังกล่าว ได้สิ้นสุดสถานภาพลงแล้วเมื่อช่วงเดือนพ.ค.2548 ก็ตาม แต่คณะกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรมการที่ถูกแต่งตั้งจากมติคณะรัฐมนตรีในยุคนั้น มิใช่กำเนิดขึ้นมาจากกระทรวงคมนาคมเพียงกระทรวงเดียว แสดงว่าผลการศึกษาจึงเป็นเรื่องที่มีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ต่อมาปี 2557 พล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ ได้ตั้งคณะทำงานความร่วมมือยุทธศาสตร์การค้าไทยจีนของรัฐบาลไทยกับนายหวี่ ปิน ประธานกรรมการบริษัท จงจิ้นริชเวย์โฮลดิ้งประเทศไทย จำกัด และจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลของประเทศไทยบริเวณคลองกระ รองรับการเปิดการค้าเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นเส้นทางการค้าการลงทุนในกลุ่มประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตามแนวทางการพัฒนาของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนที่แสดงต่อที่ประชุมเอเปค

  ในตอนนั้นประธานาธิบดีจีนได้ประชุมทวิภาคีกับพล.อ.ประยุทธ์ ยกวาระการพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่21โดยตอนนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ได้ตอบรับในความคิดริเริ่มและพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลดังกล่าว และเป็นที่มาของการจัดตั้งศูนย์วิจิยและพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลของประเทศไทยบริเวณคลองกระห(คลองคอดกระหรือคลองไทย) ที่รัฐบาลไทยในอดีตมีมติอนุมัติให้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ(คลองไทย)ปี 2544 เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติและจึงเสนอให้ฟื้นการแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติขึ้นมาศึกษาวิจับความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ(คลองไทย) เป็นโครงการพัฒนาที่เป็นเมกกะโปรเจคของประเทศอีกชิ้นหนึ่งที่จะสร้างเจริญรุ่งเรืองด้านเศรษฐกิจและอื่นๆของประเทศไทยในอนาคต "

  นายพันธ์ยศกล่าวว่า นอกจากนี้สคส.ได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่วมกับสมาคมมิตรภาพไทย-ลาว ซึ่งมีพล.อ.ต.ณัฏฐอรรจน์เป็นนายกสมาคม โดยสคส.และสมาคมมิตรภาพฯได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อใช้ในการป้องกันโควิด -19 ให้กับสปป.ลาว โดยมี ฯพณฯ แสง สุขะทิวง เอกอัครรัฐทูตสปป.ลาว ประจำประเทศไทยให้การต้อนรับและรับมอบอุปกรณ์ข้างต้น และในครั้งนั้นได้หารือกับเอกอัครรัฐทูตสปป.ลาว ประจำประเทศไทยเกี่ยวกับการค้า การลงทุน การคมนาคมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับสองประเทศในวันข้างหน้า โดยมีเรื่องการขุดคลองกระร่วมด้วย ซึ่งในตอนนั้นเอกอัครรัฐทูตสปป.ลาว ประจำประเทศไทยแสดงความสนใจในเรื่องนี้ด้วย

  "เส้นทางสายไหมทางทะเลคลองกระ(คลองไทย) จะเกิดประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างไทยและจีน รวมถึงประเทศอื่นๆที่อยู่ในภูมิภาค หากการดำเนินการเสร็จสิ้น จะมีเรือสินค้าขนาดเล็ก-ขนาดใหญ่ใช้เป็นเส้นทางผ่านจากไทยไปยังประเทศฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 2,000 ลำ สามารถร่นระยะเวลาการเดินทางเส้นทางทะเล 3 เส้นทางเดิมได้ 7 วัน จากเส้นทางสายไหมที่ใช้ในปัจจุบัน (1.เส้นทางสายตะวันออกจากเซียะเหมินไปทางมหาสมุทรแฟซิฟิกถึงทวีปอเมริกา 2.เส้นทางสายใต้จากเซียะเหมินผ่านเกาะไหหลำ แหลมยวนเข้าอ่าวไทยและแหลมมลายู 3.เส้นทางสายตะวันตกจากเซียะเหมินลงมาทะเลจีนใต้ ผ่านช่องแคบมะละกาถึงแหลมกู๊ดโฮปของทวีปแอฟริกา )
  จากการสำรวจข้อมูลโลจิสติกการค้าจีนไทย พบว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจสนใจตอบรับเข้าร่วมใช้เส้นทางสายไหมทางทะเลเส้นใหม่ของประเทศไทยแล้วสูงถึงร้อยละ60 ถือได้ว่าเส้นทางคลองกระ(คลองไทย) จะเป็นเส้นทางที่เปลี่ยนโลกและเปลี่ยนประเทศไทยในอนาคตไปอย่างสิ้นเชิง"
  นายพันธ์ยศกล่าวว่า ตนหารือกับพล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์และฝ่ายที่เกี่ยวพบว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกตอนนี้เปลี่ยนไปมากจากภาวะโควิด-19 ดังนั้นไทยต้องปรับตัวให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ แม้ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ จะบอกว่าต้องใช้เวลาศึกษารอบด้านในเรื่องนี้ แต่ความจริงแล้วสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2563 และดำเนินการแล้วเสร็จแล้ว รอเพียงบรรจุวาระให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณา ตรงนี้ก็ชัดเจนระดับหนึ่งว่าสภาผู้แทนราษฎรสนใจเรื่องนี้เพราะไทยได้ประโยชน์

  "แนวคิดข้างต้นของกมธ.วิสามัญฯตรงกับตนและพล.อ.ต.ณัฎฐอรรจน์ ตนหวังว่าโครงการคลองกระนั้นน่าจะนำมาหารือกันใหม่โดยขอเชิญทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นเจ้าภาพศึกษาเรื่องนี้คู่ขนานกับรายงานของกมธ.วิสามัญฯชุดข้างต้น จากนั้นจัดทำประชามติให้ทุกอย่างโปร่งใสว่าควรหรือไม่ควรขุดคลองกระหรือไม่ เพราะประเทศ-ประชาชนจะได้ประโยชน์หลายด้านเกี่ยวกับโครงการนี้ในวันข้างหน้าอย่างสูงสุด"


  นายพันธ์ยศกล่าวว่า ดังนั้นสคส. ได้จัดทำโครงการ "คลองกระ..เส้นทางเปลี่ยนโลก" เพื่อให้นักธุรกิจรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษา และถ่ายทอดแนวความคิดโครงการนี้ไปสู่รุ่นต่อๆไปในอนาคต ในปัจจุบันโครงการนี้ได้ดำเนินกิจกรรมมาแล้วหลายกิจกรรม และในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 ตนและสคส.นำอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19แจกจ่ายให้หน่วยงานราชการและหน่วยงานอื่นๆ รวมถึงประชาชนในพื้นที่ห่างไกลด้วย เช่น มูลนิธิกู้ภัยหลวงพ่อวัดในกุฏิ-ที่ว่าการอำเภอกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ /มูลนิธิร่วมกตัญญู /โรงพยาบาลดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ และพื้นที่อื่นๆเพื่อให้คนไทยผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

สนใจ สั่งซื้อ ผลิตภัณฑ์โทร. 0954454794