ผู้เขียน หัวข้อ: แนวทางการรักษาฝ้าจากหลักฐานเชิงประจักษ์  (อ่าน 97 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ spammer

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 139,825
  • พอยท์: 100
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
ฝ้า คืออะไร?  

ฝ้า (Melasma) เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย จากการเพิ่มของการผลิตเม็ดสีในเฉพาะจุด (hyperpigmentation) ทำให้มีสีผิวที่เข้มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มี Fitzpatrick skin types III-IV พบได้บ่อยในชาวเอเชีย มีลักษณะเป็นปื้นหรือแผ่นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม พบมากที่สุดบนใบหน้า และยังสามารถพบได้บริเวณคอ หน้าอก รวมถึงแขน โดยผู้หญิงมีอัตราส่วนที่พบมากกว่าผู้ชายคือ 9:1 ส่วนสาเหตุที่แท้จริงของฝ้านั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ตามทฤษฎีเชื่อว่าฝ้าเกิดจากการที่ เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ที่อยู่ใต้ผิวหนังทำงานมากขึ้นกว่าปกติ จึงเกิดการสร้างเม็ดสี (Melanin) เพิ่มขึ้น
โดยปัจจัย ที่เพิ่มโอกาส เกิดฝ้า ได้แก่
  • ผิวคนเอเชีย โดยเฉพาะ Fitzpatrick skin type III-IV[/*]
  • เพศหญิง[/*]
  • การใช้ชีวิต การสัมผัสแสงแดด[/*]
  • ฮอร์โมนเพศ เช่น ในภาวะตั้ง ครรภ์ การทานยาคุมกำเนิด[/*]
  • พันธุกรรม เช่นมีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า[/*]
  • เป็นโรคไทรอยด์[/*]
  • ปริมาณฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนต่ำ[/*]

ซึ่งแนวทางการรักษาฝ้าที่เป็นระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลางอาทิเช่น
  • การลอกผิวในระดับตื้น : การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling), การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion) และ การใช้เลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy)[/*]
  • การกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า : vitamin A acid, glycolic acid, salicylic acid[/*]
  • การยับยั้งการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน : hydroquinone, arbutin, kojic acid, licorice, tranxemic acid[/*]
  • การลดการขนส่งเม็ดสีจากเซลล์เมลาโนไซด์ไปยังเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า การทำลายเม็ดสีเมลานินภายในเซลล์ (เมลาโนไซด์, เคราติโนไซด์) : Q-switched laser, Fractional laser[/*]
โดย hydroquinone เป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย สารอื่นๆเช่น Arbutin, Kojic acid, Licorice PT 40 มีความนิยมแต่ไม่มากเนื่องจากประสิทธิภาพต่ำกว่าในขณะที่ราคาสูงกว่า แต่อย่างไรก็ตามการใช้ hydroquinone เป็นระยะเวลาที่ยาวนานก็สามารถส่งผลให้เกิด rebound hyperpigmentation ได้ กล่าวคือมีสีผิวเข้มขึ้นกว่าเดิม และอาจเกิดฝ้าถาวรได้

โดยแนวทางการรักษามีเป้าหมายหลัก 3 ประการได้แก่ ลดความเข้มของเม็ดสีที่เกิดขึ้นแล้ว, ยับยั้งขบวนการที่ก่อให้เกิดเม็ดสีใหม่ และป้องกันการเกิดเม็ดสีขึ้นใหม่โดยควรหลีกเลี่ยงการกระตุ้นจากรังสียูวี

แต่ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดได้ เนื่องจากสาเหตุการเกิด และวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น การใช้สาร hydroquinone, tretinion, glycolic, kojic acid , dermabrasions หรือการขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมนีให้ผลเพียงบริเวณผิวหนังส่วนบน แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาฝ้าบริเวณที่ลึกลงไปในผิวหนังโดยเฉพาะในส่วน dermis

ดังนั้นการใช้เลเซอร์ในการแก้ปัญหาเม็ดสี จึงเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน

แนวทางการรักษาฝ้าจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (คลิก)
ข้อควรรู้เกี่ยวกับเลเซอร์แก้ปัญหาเม็ดสี(LASER MELASMA TREATMENT FAQS)

Q : จะรู้ได้อย่างไรหากเกิดจุดสีน้ำตาลบนใบหน้าว่าคือฝ้า (melasma) หรือ กระแดด (sun spots)
A : สาเหตุของการเกิดฝ้าส่วนใหญ่มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ดังนั้นจึงพบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์ นอกจากนี้การทานยาคุมกำเนิดก็ส่งผลได้เช่นกันโดยเฉพาะในผู้หญิงที่ค่อนข้าง sensitiveต่อการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนซึ่งบางครั้งการเปลี่ยนยี่ห้อของยาคุมกำเนิดก็สามารถทำให้เกิดฝ้าหนักกว่าเดิม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อระดับฮอร์โมนกลับมาป็นปกติ เช่นหลังจากคลอดบุตร หรือหยุดการทานยาคุมกำเนิดแล้ว ฝ้าก็จะค่อยๆจางลงในที่สุด ซึ่งการรักษาฝ้า จะเกิดขึ้นในกรณีที่การเกิดฝ้านั้นมีสาเหตุมาจากแสงแดด โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับระดับของฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งการสัมผัสแสงแดดเป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้เกิด ฝ้าแดด กระแดดได้ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นยิ่งมีโอกาสเกิดได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดด โดยการป้องกันด้วยครีมกันแดด และสำหรับผู้ที่เกิดปัญหาขึ้นแล้วการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์มีความยากกว่าการรักษาจุดด่างดำจากแสงแดด แต่อย่างไรก็ตามก็สามารถรักษาได้ในที่สุด หากเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม และผู้เข้ารับการรักษาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

Q : รอยแดงที่เกิดจากสิว สามารถรักษาด้วยเลเซอร์หรือไม่?
A : รอยแดงที่เกิดขึ้น เกิดจากการอักเสบในช่วงที่เป็นสิวและทิ้งร่องรอยไว้ ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน แต่เป็นเม็ดสีปกติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงสามารถรักษาให้หายได้ง่ายด้วยการใช้เลเซอร์

Q : หากเกิดฝ้าที่บริเวณลำคอ และลุกลามอย่างรวดเร็วไปบริเวณแขน ข้อศอก เป็นต้น การรักษาด้วยครีมทาฝ้า Triluma และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี แต่ไม่หายทั้งสองวิธี แล้วการรักษาด้วยเลเซอร์จะสามารถช่วยได้หรือไม่ ?
A : Protocols ที่ใช้ในการรักษาฝ้า กระ รอยดำ ของ BAC Clinic สามารถแก้ปัญหาการเกิดฝ้าได้มากกว่า โดยก่อนเริ่มการรักษาต้องมีการประเมินสาเหตุของการเกิดฝ้า เพื่อให้ทราบว่าฝ้าที่เกิดขึ้นมีความคงที่แล้วหรือยัง และทำการรักษาด้วยเลเซอร์ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อดูการตอบสนองของฝ้าต่อเลเซอร์ที่ใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกัน เนื่องจากการตอบสนองของฝ้ามีความแตกต่างกันตามชนิดของฝ้า ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดในการรักษาจึงต้องมีการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลือก protocols ที่มีประสิทธิภาพที่สุดต่อความผิดปกติของเม็ดสีในชั้นผิวหนังที่เกิดขึ้น

Q : ครีมทารักษาฝ้า ลดรอยดำ ที่มีในปัจจุบัน มีตัวใหนบ้าง ?
A: ในการรักษาฝ้า ลดรอยดำ การเลือกใช้ครีมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาเม็ดสีเป็นสำคัญ โดยสามารถใช้เพียงเดี่ยวๆ รวมถึงสามารถใช้ร่วมกันอาทิเช่น การใช้ 2 %hydroquinone ร่วมกับ azelaic acid, retinoic acid (tretinoin), kojic acid และในกรณีที่ปัญหารุนแรงสามารถพิจารณาใช้ HQในความเข้มข้นที่มากขึ้น หรือใช้ร่วมกับ tretinoin, corticosteroids, glycolic acid ด้วยเป็นต้น โดยรายชื่อครีมทาฝ้า ลดรอยดำ ที่มีในปัจจุบันอาทิเช่น
Azelaic acid 15%-20% (Azelex, Finacea)
Retinoic acid 0.025%-0.1% (tretinoin)
Tazarotene 0.5%-0.1% (Tazorac cream/ gel)
Adapalene 0.1%-0.3% (Differin gel)
Kojic acid
Lactic acid lotions 12% (Lac-Hydrin / Am-Lactin)
Glycolic acid 10%-20% creams (Citrix cream, NeoStrata)
Glycolic acid peels 10%-70%

แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ครีมทาฝ้าบางชนิด ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่สามารถเกิดขึ้นได้หากใช้ไม่ถูกวิธี

ฝ้า กระ ปัญหาใหญ่ ส่งผลต่อความมั่นใจ และบุคลิกภาพรู้จักกับชนิดของฝ้า เพื่อการวางแผนการรักษาที่แม่นยำ สนใจปรึกษาเรื่องฝ้า ได้ที่ Line : @bacclinic https://lin.ee/sAoMt55

 

{}Login to chat