น้ำมันพืช : ใช้เช่นใดให้เป็นธรรมพร้อมกับไม่เป็นอันตราย น้ำมันด้วยว่านำมาใช้หุงหาอาหาร น้ำมันพืชนับเป็นส่วนหนึ่งของสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของไขมัน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าว่าน้ำมันหรือไขมันจะเป็นไอเท็มที่มีผลประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่หากกินเกินกว่าที่ร่างกายพึงประสงค์ ก็ประกอบกิจให้เกิดโรคภัยตามมาได้หลายโรค ยิ่งในช่วงปัจจุบันที่มีน้ำมันวางจำหน่ายมากมายหลายชนิดหลายจำพวก น้ำมันพืชหากเลือกสรรซื้อหรือใช้อย่างไร้ความเข้าใจ ก็จะยิ่งเป็นเหตุให้เป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
พวกของน้ำมันปรุงอาหาร : น้ำมันที่ ใช้ทำอาหารทั่วๆไป มี ๒ สาย คือ น้ำมันพืชกับน้ำมันสัตว์ ทันทีที่ ๓๐ กว่าปีประกอบกิจน น้ำมันที่ใช้ทำอาหารในครัวเรือน มีเพียงแค่น้ำมันหมูพร้อมกับน้ำมันมะพร้าวเฉพาะ ต่อมาได้มีการผลิตน้ำมันจากถั่วลิสงออกมาเพิ่มอีกชนิดหนึ่ง สมัยนั้นคนที่มีเงินหน่อยมักจะนิยมใช้น้ำมันหมูที่ซื้อมาเจียวเอง ส่วนชาวที่อยู่ทั่วไปก็อาจจะจะซื้อน้ำมันหมูที่เขาเจียวใส่ปี๊บขายเป็นกิโลกรัม หรือไม่ก็ใช้น้ำมันมะพร้าว ซึ่งยุคนั้น ยี่ห้อการค้าที่รู้จักกันแพร่หลาย รวมความว่า น้ำมันพืชตราดอกบัว คนก็เลยเรียกน้ำมันมะพร้าว ตราดอกบัวกันติดปากว่าน้ำมันบัว ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมการผลิตงอกงาม ก็มีน้ำมันปรุงอาหารจากพืชนานาชนิดทยอยออกมาให้เราได้รู้จักพร้อมกับเลือกสรรใช้ หลากหลาย ได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำมันจากดอกคำฝอย น้ำมันจากเมล็ดฝ้าย น้ำมันจากดอกกับเมล็ดทานตะวัน พร้อมด้วยน้ำมันปาล์มโอเลอีน ฯลฯ
น้ำมันพืชพร้อมทั้งน้ำมันสัตว์ต่างกันเช่นไร : ผู้บริโภค ส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดคิดว่า
น้ำมันพืชต่างจากน้ำมันหมูหรือน้ำมันสัตว์ (เช่น เนย) ตรงที่ให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด จริงๆ แล้วแล้วไม่ว่าน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ก็จะให้พลังงานต่อหน่วยความหนักเบา เท่าซึ่งกันและกัน คือ ๑ กรัม จะให้พลังงานเท่ากับ ๙ แคลอรี อย่างนั้นความเชื่อที่ว่ากินน้ำมันพืชแล้วไม่อ้วน จึงไม่เป็นความจริง เพราะไม่ว่าน้ำมันอะไร หากกิน มากเกินก็ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้เสมอเหกรนกัน
น้ำมันทั้ง ๒ ประเภท มีความผิดแผกแตกต่างกัน รวมความว่า >> น้ำมันสัตว์ อาทิ น้ำมันหมูจะมีส่วนประกอบจำนวนมากเป็นกรดไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีฟีเจอร์เป็นไขได้ง่ายเมื่ออากาศเย็นขึ้น ไขมันสัตว์มีกลิ่นเหม็นหืนได้ง่ายเมื่อทิ้งเร็ว้ที่อุณหภูมิธรรมดา ไขมันจากสัตว์น้ำมันพืชนอกจากนั้นมีไขมันอิ่มตัวแล้วยังมีโคเลสเตอรอลเพราะว่า การกินไขมันสัตว์มากอาจจะเป็นเหตุให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคศรีษะใจขาดเลือด ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงควรหลบเลี่ยงการใช้น้ำมันมะพร้าว เพราะว่ามีไขมันอิ่มตัวในปชายาณมาก
>> น้ำมันพืช (เว้นแต่ว่าน้ำมันมะพร้าว และ
น้ำมันเมล็ดปาล์ม) มีคุณสมบัติที่ตรงข้ามกับน้ำมันสัตว์ น้ำมันพืชส่วนใหญ่จะกอปรไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งมีส่วนประกอบสายสืบเคมีที่เป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่าน้ำมันสัตว์ ไขมันไม่อิ่มตัวนี้จะไม่ค่อยเป็นไข แม้ว่าจะอยู่ในที่เย็น เช่นว่า แช่ตู้เย็น แต่ถ้าว่าน้ำมันพืชจะทำปฏิกิริยุ่งยากับความร้อนพร้อมทั้งออกซิเจนได้ง่าย พร้อมทั้งมักเป็นเหตุให้เกิดกลิ่นเหม็นหืนภายหลังจากใช้ประกอบภักษาแล้ว
เช่นใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นน้ำมันพืชหรือน้ำมันสัตว์ ต่างก็มีองค์ประกอบของกรดไขมันทั้ง ๒ ชนิด เพียงแต่รูปทรงจะมากหรือน้อยแหวกแนวกันไป แล้วแต่ชนิดของพืชไม่ก็สัตว์ที่นำมาดำรงฐานะน้ำมัน
มารู้จักกับไขมันกันสักหน่อย ไขมันที่เราได้จากการกินภักษา แบ่งหมายถึง ๓ ชนิด ลงความว่า
น้ำมันพืช ๑. กรดไขมันอิ่มตัว (satu-rated fatty acid)
๒. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (polyunsaturated fatty acid)
๓. กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fatty acid)
มีคำแนะนำจากนักโภชนาการว่า อีฉันควรกินไขมันจำพวกไม่อิ่ม ตัวเชิงเดี่ยวมากกว่าไขมันชนิดอื่นๆ เพราะกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมีฟีเจอร์เป็นตัวทำหลอมละลายเพื่อการตรวจดซึม วิตามินบางชนิด ช่วยลดระดับ โคเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-C) น้ำมันพืชเช่นเดียวกันยังช่วยเพิ่มโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-C) ได้ด้วย แผนกกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนนั้น จะช่วยลดทั้งโคเลสเตอรอลชนิดดีกับไม่ดีพร้อมกัน
เพื่อกรดไขมัน อิ่มตัว ควรจะบริโภคในปท้ายาณน้อยๆ คือ ไม่เกิน ๒๐ กรัมใน ๑ วัน น้ำมันพืชการกินไขมันอิ่มตัวบ่อยหากเลยความต้องการของร่างกาย จะปฎิบัติงานให้เกิดสถานการณ์ไตรกลีเซอไรด์ด้วยกันโคเลสเตอรอลในเลือดสูง ทำเอาหผ่านเลือดตีบจนเลือดไหลเวียนไม่ง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะหทะลวงเลือดตีบพร้อมด้วยแข็ง ทำเอาเกิดภาวการณ์กะบาลใจขาดเลือดหรือไม่เป็นอัมพาตได้ และในบางคนที่มีการไหลเวียนของน้ำมันพืชโคเลสเตอรอลสูงเป็นประจำ จะทำเอาเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีเหตุด้วย
Tags : น้ำมัน,น้ำมันพืช ราคา