ผู้เขียน หัวข้อ: p1 กล้องสำรวจถนนหนทางภาคสนาม ซื้อขาย กล้องระดับ TOPCON, Pentax, CTS/Berger มือหน  (อ่าน 94 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ spammer

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 139,825
  • พอยท์: 100
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล์
จำหน่ายกล้องอุปกรณ์กล้องไลน์สำรวจ คุณภาพเยี่ยม กล้องระดับ TOPCON ยี่ห้อ TOPCON, Pentax, CTS/Berger
การแบ่งดิน คือ การรวบรวมดินจำพวกต่างๆที่มีลักษณะ หรือ คุณสมบัติที่หมือนกันหรือคล้ายคลึงกันตามที่ตั้งไว้ ให้เป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ เพื่อสบายสำหรับการจำและใช้ประโยชน์งาน
ระบบการแบ่งดินของประเทศรัสเซีย
ระบบนี้จะมีความสนใจดินที่เกิดในลักษณะภูมิอากาศหนาวเย็น จนถึงค่อนข้างร้อน สำหรับในการแยกเป็นชนิดและประเภทขั้นสูง ย้ำการใช้โซนอากาศแล้วก็พืชพรรณเป็นหลัก มีทั้งหมดทั้งปวง 12 ชั้น (class I- class XII) โดยชั้น I-VI เป็นดินในเขตลักษณะภูมิอากาศตั้งแต่หนาวจัด จนถึงค่อนข้างหนาวในทะเลทราย ชั้น VII-IX เน้นย้ำสภาพอากาศค่อนข้างจะร้อน โดยใช้ลักษณะความชุ่มชื้น-ความแห้ง และภาวะพรรณไม้ที่เป็นป่า หรือทุ่งหญ้า เป็นต้นสายปลายเหตุจำกัด สำหรับชั้น X-XII ย้ำดินในเขตร้อน จากระดับสูงจะมีการจัดประเภทออกเป็นชั้นย่อย ตามลักษณะการเกิดของดิน รวมทั้งแบ่งเป็นชนิดดิน ในอย่างน้อย ระบบการแบ่งแยกดินของคูเบียนา การแบ่งแยกดินใช้ ทรัพย์สมบัติทางเคมีของดิน รวมทั้งโซนของภูมิอากาศกับพรรณไม้ เป็นหลัก โดยเน้นย้ำสภาพแวดล้อมในเขตเมดิเตอร์เรเนียน และสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างแล้งมากยิ่งกว่าเขตเปียกชื้นแล้วก็ฝนชุก
-ระบบการจำแนกดินของประเทศฝรั่งเศส
มีลักษณะเด่นคือ เป็นการแบ่งดินที่ใช้ลักษณะทั้งผองด้านในหน้าตัดดินเป็นมาตรฐาน ย้ำพัฒนาการของหน้าตัดดิน โดยพินิจจาการจัดตัวของชั้นกำเนิดดินด้านในหน้าตัดดินโดยยิ่งไปกว่านั้น กับการที่มีปฏิกิริยาความเคลื่อนไหว หรือชั้นที่มีการสะสมของดินเหนียว การจำแนกลำดับสูงสุด เน้นลักษณะที่เกี่ยวโยงกับการขังน้ำ ส่วนขั้นต่ำ ใช้ความมากน้อยสำหรับเพื่อการโยกย้ายอนุภาคดินเหนียวในหน้าตัดดิน
-ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศเบลเยียม
เป็นการจัดชนิดและประเภทที่ออกจะละเอียด ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้ที่ดินทางการเกษตรที่เข้มข้น การจำแนกดินใช้ลักษณะของเนื้อดิน ชั้นการระบายน้ำ รวมทั้งความเจริญของหน้าตัดดิน เป็นลักษณะแบ่งแยก สำหรับเพื่อการแจกแจงเนื้อดิน แบ่งออกเป็น 7 ชั้น (ชั้นอนุภาคดิน) สิ่งของอินทรีย์และก็ตะกอนลมหอบ ส่วนชั้นการระบายน้ำของดิน ใช้การแปลที่เกี่ยวกับความเปียกของดิน ได้แก่ จุดประ และสีเทาในเนื้อดิน กับระดับความลึกของดินที่พบลักษณะดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว สำหรับความก้าวหน้าของหน้าตัดดินแบ่งได้หลายชั้นโดยพินิจพิเคราะห์จากลำดับของชั้นต่างๆในหน้าตัดดินรวมทั้งชั้น (B) นับได้ว่าเป็นชั้น B ที่พึ่งจะมีพัฒนาการหรือเป็นชั้นแคมบิก B คล้ายคลึงกันกับในระบบของฝรั่งเศส
-ระบบการแบ่งดินของอังกฤษ
ย้ำลักษณะดินที่พบในประเทศอังกฤษรวมทั้งเวลส์ มี 10 กลุ่ม แจกแจงออกจากกันโดยใช้รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นกฏเกณฑ์ซึ่งย้ำประเภทรวมทั้งการจัดเรียงตัวของชั้นดิน ประกอบด้วย Terrestrial raw soils, Hydric raw soils, Lithomorphic (A/C) soils, Pelosols, Brown soils, Podzolic soils, Surface water gley soils, Groundwater gley soils, Man-made soils แล้วก็ Peat soils
-ระบบการจำแนกดินของประเทศแคนาดา
ระบบการแบ่งเป็นแบบมีหลายขั้นอนุกรมเกณฑ์และมีลำดับสูงต่ำเด่นชัด มี 5 ขั้นร่วมกันเป็น ชั้น (order) กลุ่มดินใหญ่ (great group) กรุ๊ปดินย่อย (subgroup) วงศ์ดิน (family) รวมทั้งชุดดิน (series) ชั้นอันดับวิธานของดินในระบบการแบ่งแยกดินของแคนาดาแจงแจงออกจากกันโดยใช้ลักษณะที่พิจารณาได้ และก็ที่วัดได้ แต่หนักไปในทางทางด้านทฤษฎีการกำเนิดดินในการแบ่งแยกระดับสูง ซึ่งแบ่งได้เป็น 9 ชั้น และก็แบ่งได้เป็น 28 กรุ๊ปดิน
-ระบบการจำแนกดินของประเทศออสเตรเลีย
การพัฒนาด้านการจำแนกดินในประเทศออสเตรเลียมีมานานแล้วด้วยเหมือนกัน โดยในขั้นแรกเป็นการแยกประเภทดินที่ใช้ธรณีวิทยาของวัสดุดินเริ่มต้นเป็นหลัก แต่ว่าถัดมาได้มีการปรับปรุงมาเรื่อยจนกระทั่งเน้นย้ำเค้าโครงวิทยาของหน้าตัดดินโดยแบ่งได้เป็น 47 หน่วยดินหลัก (great soil groups) เนื่องจากว่าการที่ประเทศออสเตรเลียมีสภาพอากาศอยู่หลายแบบด้วยกัน ทำให้มีสภาพแวดล้อมทางดินหลายแบบร่วมกันตามไปด้วย มีทั้งในสภาพที่หนาวเย็นไปจนถึงเขตร้อนชื้น รวมทั้งเขตที่เป็นทะเลทราย ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าระบบการแบ่งแยกนี้ครอบคลุมจำพวกของดินต่างๆเยอะมาก แต่ว่าเน้นดินที่มีการสะสมคาร์บอเนต เน้นย้ำสีของดิน และเนื้อของดินออกจะมากมาย ระบบการแบ่งแยกดินของประเทศออสเตรเลียนี้มีอยู่มากกว่า 1 แบบ ด้วยเหตุว่ามีการเสนอระบบต่างๆที่มีแนวคิดเบื้องต้นไม่เหมือนกันออกไป อาทิเช่นระบบของฟิทซ์แพทริก (FitzPatrick, 1971, 1971, 1980) ที่ย้ำจากระดับที่ค่อนข้างต่ำขึ้นไปหาระดับสูง แล้วก็ระบบที่พบอยู่ในคู่มือของดินออสเตรเลีย (A Handbook of Australia Soils) เป็นต้น
-ระบบการจำแนกดินของประเทศนิวซีแลนด์
ประเทศนิวซีแลนด์ใช้ระบบอันดับวิธานดินของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหลักสำหรับเพื่อการจำแนกดิน แล้วก็ดินของประเทศนิวซีแลนด์รอบๆกว้างเป็นดินที่เกิดมาจากตะกอนภูเขาไฟ
-ระบบการแบ่งดินของประเทศบราซิล
ดินในประเทศบราซิลเป็นดินที่มีลักณะเด่นเป็นดินเขตร้อน ระบบการแบ่งแยกดินของบราซิลไม่ใช้สภาพความชุ่มชื้นดินสำหรับเพื่อการจำแนกขั้นสูง และก็ใช้สี จำนวนของส่วนประกอบกับประเภทของหินต้นกำเนิด เป็นลักษณะที่ใช้เพื่อการแบ่งแยกมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับเกณฑ์ดินกษณะที่ใช้ในการจำแนกประเภทมากยิ่งกว่าที่ใช้ในอันดับวิธานดิน
ตามระบบการแบ่งดินประจำชาตินี้ สามารถแบ่งดินในประเทศไทยออกเป็น
ชุดดินรังสิต
Alluvial soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นใหม่ มีอายุน้อย มีพัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ หน้าตัดดินเป็นแบบ A-C, A-Cg, Ag-Cg หรือ A-(B)-Cg เป็นผลมาจากการทับถมโดยน้ำตามที่ราบลุ่ม อย่างเช่นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ทะเลสาบ ปากแม่น้ำ ชายทะเล แล้วก็เนินตะกอนน้ำพารูปพัด (alluvial fan) สภาพของการทับถมอาจเป็นรอบๆของน้ำจืด น้ำทะเล หรือน้ำกร่อยก็ได้ ส่วนมากจะมีเนื้อดินละเอียด รวมทั้งการระบายน้ำสารเลว พบได้บ่อยลักษณะที่แสดงการขังน้ำ นอกจากรอบๆสันดินริมน้ำ แล้วก็ที่เนินตะกอนน้ำพารูปพัด ที่เนื้อดินจะหยาบคายกว่า รวมทั้งดินมีการระบายน้ำดี องค์ประกอบและก็แร่ธาตุที่มีอยู่ในดิน alluvial มักแตกต่างกันมากมาย และก็ชอบผสมคละจากรอบๆแหล่งกำเนิดที่มาจากหลายแห่ง ชุดดินที่สำคัญของกลุ่มดินหลักนี้เป็น
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำจืด ดังเช่นว่า ชุดดินท่าม่วง สรรพยา สิงห์บุรี จังหวัดราชบุรี อยุธยา
- พวกที่เกิดขึ้นจากตะกอนน้ำกร่อย เช่น ชุดดินผู้อารักขา รังสิต
- พวกที่เกิดขึ้นมาจากตะกอนพื้นแผ่นดินมหาสมุทร เช่น ชุดดินท่าจีน กทม.
-
Hydromorphic Alluvial soils
หมายถึงดิน Alluvial soils ที่มีการระบายน้ำออกจะเลว-หยาบช้ามาก ในกรณีที่มีการแบ่งดินออกเป็น Alluvial soils และก็ Hydromorphic Alluvial soils ดินที่อยู่ในกรุ๊ปดินหลัก Alluvial soils จะเป็นดินที่มีการระบายน้ำดี รวมทั้งอยู่ในรอบๆที่สูงกว่าในภูมิทัศน์ที่ต่อเนื่องกัน ดินในทั้งคู่กลุ่มดินหลักนี้ชอบได้รับอิทธิพลน้ำท่วมในฤดูน้ำหลากเสมอ
 -ชุดดินหัวหิน
Regosols
มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดินต่ำ เกิดกระจ่างเฉพาะดินบน (A) และก็มีหน้าตัดดินแบบ A-C หรือ A-Cg มีเหตุที่เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดดินที่เป็นทรายจัดบางทีอาจเป็นทรายบริเวณชายฝั่งทะเล หรือบริเวณเนินทราย หรือทรายจากแม่น้ำ ดินมีการระบายน้ำดี จนถึงระบายน้ำดีจนเกินไป เจอทั่วไปเป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเล และก็ตามกระพักลำน้ำของแม่น้ำที่มีตะกอนเป็นทรายจัด มีปฏิกิริยาค่อนข้างจะเป็นกรด ชุดดินที่สำคัญได้แก่ ชุดดินหัวหิน พัทยา ระยอง แล้วก็น้ำพอง
-Lithosols
เป็นดินตื้นมากมาย โดยมากลึกไม่เกิน 30 ซม. พบได้ทั่วไปตามรอบๆที่ลาดเชิงเขาซึ่งมีกษัยการสูง การจัดเรียงตัวของชั้นดินเป็นแบบ A-C-R, AC-C-R หรือ A-R เนื้อดินมีเศษหินที่ยังไม่ผุพังย่อยสลายหรือกำลังย่อยสลายคละเคล้าอยู่เป็นส่วนใหญ่ ดินนี้ไม่เหมาะแก่การเกษตร หรือการสร้างพืชโดยธรรมดา
-ชุดดินจังหวัดลพบุรี
Grumusols
เป็นดินสีคล้ำ เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากวัตถุต้นกำเนิดที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ดังเช่น หินปูน มาร์ล หรือบะซอลต์ วิวัฒนาการของหน้าตัดดินต่ำ เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีส่วนประกอบเป็นแร่ดินเหนียวชนิด 2:1 ซึ่งมีความสามารถสำหรับในการยืด-หดตัวได้มาก ดินจะขยายตัวเมื่อเปียก (swelling) รวมทั้งหดตัวเมื่อแห้ง (shrinkage) ทำให้มีลักษณะของรอยูลื่นไถล (slickensides) เกิดขึ้นในดิน ลักษณะหน้าตัดมีชั้น A-C หรือ A-AC-C โดยชั้น A จะครึ้ม มีองค์ประกอบดินแบบก้อนกลม (granular structure) หรือก้อนกลมพรุน (crumb structure) พบได้ทั่วไปในบริเวณที่ราบลุ่มหรือกระพักลำน้ำ ลักษณะผิวหน้าดินเป็นพื้นที่ตะปุ่มตะป่ำ (gilgai relief) เมื่อแห้งผิวดินจะแตกระแหงเป็นร่องลึก ปฏิกิริยาดินเป็นด่าง ลักษณะโดยรวมเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง แม้กระนั้นมีโภคทรัพย์ด้านกายภาพที่เป็นอุปสรรคต่อการไถลูกพรวน ดินนี้ในรอบๆที่ต่ำจะมีการระบายน้ำเลวทราม จำนวนมากใช้ปลูกข้าว แต่หากอยู่ในที่สูง ยกตัวอย่างเช่นในรอบๆใกล้เชิงเขาหินปูนมักจะมีการระบายน้ำดี ใช้ปลูกพืชไร่ อย่างเช่น ข้าวโพดชุดดินที่สำคัญ ดังเช่นว่า ชุดดิน ลพบุรี บ้านหมี่ โคกกระเทียม บุรีรัมย์ กรุ๊ปดินหลัก Grumusols นี้ ไม่มีในระบบ USDA 1938 เริ่มใช้เพื่อการเพิ่มเติมอีกระบบ USDA เมื่อ 1949
 -ชุดดินตาคลี
Rendzinas
เป็นดินตื้นกำเนิดตามเชิงเขาหินปูน วัตถุต้นกำเนิดเป็นพวกปูน (CaCO3) หรือมาร์ล กำเนิดเกี่ยวกับดิน Grumusols แต่ว่าอยู่ในบริเวณที่สูงกว่า พบได้มากรอบๆที่ลาดใกล้เขา หรือ กระพักลุ่มน้ำใกล้เขาหินปูน เป็นดินที่มีความก้าวหน้าของหน้าตัดต่ำ ลักษณะดินจะมีเพียงแต่ชั้น A และ C หรือ A-(B)-C ดินบนสีคล้ำ มีส่วนประกอบดี ร่วน แล้วก็ค่อนข้างจะครึ้ม มีการระบายน้ำดี ส่วนดินล่างเป็นดินเหนียวผสมปูนหรือปูนมาร์ล ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นตามความลึก แล้วก็มักจะเจอชั้นที่เป็นปูน หรือ ปูนมาร์ลล้วนๆอยู่ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ดินเหล่านี้จะมีปฏิกิริยาเป็นด่าง (pH ราว 7.0-8.0) ส่วนใหญ่ใช้สำหรับในการปลูกพืชไร่ เป็นต้นว่าข้าวโพด หรือปลูกไม้ผล ดังเช่น น้อยหน่า ทับทิม เป็นต้น ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินตาคลี
 -ชุดดินชัยบาดาล
Brown Forest soils
เจอตามบริเวณภูเขาเป็นส่วนมาก มีเหตุที่เกิดจากวัตถุต้นกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้าง แล้วก็เศษหินเชิงเขา ทั้งในสภาพที่หินพื้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาเป็นกรด และก็ด่าง ดังเช่นว่า แกรนิต ไนส์ แอนดีไซต์ มาร์ล อาจพบปะสนทนาคละเคล้ากับดินในกรุ๊ปดินหลัก Rendzinas เป็นดินตื้น วิวัฒนาการของหน้าตัดดินไม่มากนัก มีลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A-B-C หรือ A-B-R แม้กระนั้นชั้น B มักจะไม่ค่อยชัดแจ้ง ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปตามเทือกเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ Brown Forest soils ที่เป็นกรด พบเพียงแค่เล็กๆน้อยๆชุดดินที่สำคัญ อาทิเช่น ชัยบาดาล ลำนารายณ์ สมอทอด
 -Humic Gley soils
พบจำนวนน้อยในประเทศไทย มักกำเนิดผสมอยู่กับดินอื่นๆในลักษณะเกลื่อนกลาดเป็นหย่อมๆในรอบๆที่ราบลุ่ม พบบ่อยอยู่ติดกับดินในกรุ๊ป Grumusols, Rendzinas หรือ Red Brown Earths เป็นดินในที่ต่ำ มีการระบายน้ำเหลวแหลก ความก้าวหน้าของหน้าตัดไม่ดีนัก ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ Ag (Apg)-Cg หรือ A-Bg-Cg ลักษณะที่สำคัญเป็น ดินบนดก มีสารอินทรีย์สูง ดินด้านล่างมักเป็นดินเหนียวสีเทาหรือสีเทาเข้ม มีลักษณะที่แสดงถึงภาวะที่มีการขังน้ำชัดเจน มีจุดประ ปฏิกิริยาดินเป็นด่างเล็กน้อยชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินแม่ขาน
 -ชุดดินร้อยเอ็ด
Low Humic Gley soils
เป็นดินที่เกิดขึ้นมาจากขี้ตะกอนน้ำพา พบในรอบๆที่ต่ำที่มีการระบายน้ำต่ำช้า จำนวนมากอยู่ในบริเวณกระพักลุ่มน้ำต่ำที่สูงกว่าที่ราบลุ่มใหม่ใกล้น้ำ ระดับน้ำใต้ดินตื้นและก็แช่ขังเป็นบางครั้ง แม้กระนั้นมีความเจริญของหน้าตัดค่อนข้างดี ลักษณะสำคัญของดินในกลุ่มนี้คือ หน้าตัดดินมีลักษณะที่แสดงออกถึงการขังน้ำ มีจุดประชัดเจน หน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt, Ap-A2-Bt, A1-A2-Btg, A1g-A2g-Btg, หรือ Apg-Btg พวกที่แก่น้อยจะสมบูรณ์บริบูรณ์มากยิ่งกว่าพวกที่เกิดเป็นเวลายาวนานกว่า บางรอบๆจะพบศิลาแลงอ่อน (plinthite) ในตอนล่างของหน้าตัดดิน ส่วนใหญ่เป็นดินที่มีความอิ่มตัวเบสต่ำ pH ประมาณ 4.5-5.5 สำหรับพวกที่เกิดอยู่ในบริเวณตะพักลุ่มน้ำค่อนข้างจะใหม่ มักจะมีความอิ่มตัวเบสสูง ชุดดินที่สำคัญ คือ เพ็ญ จังหวัดสระบุรี มโนรมย์ เพชรบุรี จังหวัดเชียงราย หล่มเก่า ส่วนพวกที่เกิดบนกระพักเขตที่ลุ่มค่อนข้างเก่า เป็นต้นว่าชุดดิน ร้อยเอ็ด จังหวัดลำปาง ฯลฯ
 
-ชุดดินท่าอุเทน
Ground Water Podzols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำหยาบช้าถึงออกจะเลวเจอเฉพาะในรอบๆที่มีฝนตกชุก ดังเช่นว่า ในภาคใต้ รอบๆริมฝั่งทิศตะวันออก หรือบางจังหวัดของภาคอีสาน ตัวอย่างเช่น จังหวัดนครพนม มีสาเหตุมาจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นทราย ในบริเวณที่เป็นทรายจัด ตัวอย่างเช่น ริมน้ำเก่าหรือตะกอนทรายเก่า ในบริเวณที่ออกจะต่ำ มีความเจริญของหน้าตัดดี รูปแบบของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-(A2)-Bh-Cg หรือ A1-A2-Bir-Cg ชั้นดินบนสีคล้ำ และมีสารอินทรีย์สูง ชั้น A2 (albic horizon) หรือชั้นล้างมีสีซีดจางเห็นได้ชัดเจน ชั้น Bh มีสีน้ำตาลเข้มและมีการอัดตัวค่อนข้างจะแน่น แข็ง เพราะมีการสะสมอินทรียวัตถุที่เสื่อมสภาพแล้วกับอะลูมินัมออกไซด์และ/หรือเหล็กออกไซด์ มีปฏิกิริยาเป็นกรด pH ต่ำ ราว 4.0-5.0 ตลอดทั้งหน้าตัดชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินบ้านทอน ท่าอุเทน
 -ชุดดินหนองมึง
Solodized-Solonetz
พบในรอบๆที่ค่อนข้างแล้ง รวมทั้งวัตถุแหล่งกำเนิดมีเกลือผสมอยู่ เป็นต้นว่ารอบๆชายฝั่งทะเลเก่า หรือบริเวณที่ได้รับผลพวงจากเกลือที่มาจากใต้ดิน ดังเช่นว่าในภาคอีสาน ของประเทศไทย เป็นต้น มีลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt ดินมีการระบายน้ำชั่วโคตร ชั้น Bt จะแข็งแน่นและก็มีองค์ประกอบแบบแท่งหัวมน (columnar structure) หรือแบบแท่งหัวตัด (prismatic) ดินบนเป็นดินร่วนซุยคละเคล้าทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างราวๆ 5-5.5 ส่วนดินล่างมี pH สูง 7.0-8.0 ดังเช่นว่าชุดดินกุลาร้องไห้ ชุดดินหนองมึง เป็นต้น
 -ชุดดินอุดร
Solonchak
เป็นดินที่มีการระบายน้ำต่ำทรามถึงออกจะต่ำช้า มีเกลือสะสมอยู่ในชั้นดินมาก หน้าตัดดินเป็นแบบ Apg-Cg หรือ Apg-Bg-Cg ในดินเหล่านี้จะมีชั้นดินที่เป็นดินเหนียวอยู่เป็นชั้นบางๆสลับกับชั้นทราย เกิดขึ้นให้เห็นกระจ่างเจน ในช่วงฤดูแล้งจะมองเห็นรอยเปื้อนเกลือสีขาวๆที่ผิวหน้าดิน ความเป็นกรดเป็นด่างมากยิ่งกว่า 7.0 ตัวอย่างเช่น ชุดดินทิศเหนือ
 -Non Calcic Brown soils
เจอไม่มากเท่าไรนักในประเทศไทย พบในรอบๆกระพักสายธารค่อนข้างใหม่ ความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดดินแบบ A1(Ap)-A2-Bt ดินบนสีน้ำตาลเทา ดินล่างมีสีน้ำตาล น้ำตาลคละเคล้าเหลือง หรือน้ำตาลผสมแดง มีต้นเหตุจากตะกอนน้ำออกจะใหม่ มีเนื้อดินตั้งแต่ค่อนข้างหยาบไปจนถึงละเอียด แล้วก็มีปฏิกิริยาเป็นกรดนิดหน่อย ในหน้าตัดดินจะเจอแร่ไมกาอยู่ทั่วไป มีการระบายน้ำดี ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง เหมาะสมที่จะปลูกพืชไร่และไม้ผล ชุดดินที่สำคัญดังเช่นว่า ชุดดิน กำแพงแสน ธาตุพนม
 -ชุดดินวัวราช
Gray Podzolic soils
กำเนิดในบริเวณตะพักสายธารเป็นดินที่มีอายุออกจะมาก มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี เจอในบริเวณลำธารระดับที่ถือว่าต่ำ-ระดับกลาง วัตถุต้นกำเนิดเป็นขี้ตะกอนน้ำที่ทับถมมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นกรดแล้วก็มีแร่ที่สลายตัวง่ายหลงเหลืออยู่ในจำนวนน้อย ในภาวะพื้นที่แบบลูกคลื่น ซึ่งทำให้การไหลผ่านหน้าดินเป็นไปอย่างช้าๆแล้วก็อากาศที่มีระยะแฉะ-แห้งสลับกันเป็นเหตุที่สำคัญต่อการเกิดดินจำพวกนี้ ลักษณะดินชี้ให้เห็นว่าดินมีการชะละลายสูง สีจะออกขาวหรือเทาจัดเมื่อแห้ง แล้วก็มีลักษณะการโยกย้ายบนผิวหน้าดินค่อนข้างชัดเจน เนื้อดินละเอียดรวมทั้งสารอินทรีย์ถูกชะล้างไปเมื่อหน้าดินถูกฝน หลงเหลืออยู่แต่จุดที่เกาะตัวกันแน่นอยู่เป็นจุดๆบางทีอาจพบพลินไทต์ในชั้นดินด้านล่าง เป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ-ต่ำมาก ลักษณะของหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt กรุ๊ปดินนี้พบเป็นบริเวณกว้างใหญ่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แล้วก็บางแห่งในภาคเหนือ ชุดดินที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น ชุดดินวัวราช สันป่าตอง ห้วยโป่ง ฯลฯ
 -ชุดดินท่ายาง
Red Yellow Podzolic soils
เป็นดินเก่าที่มีความเจริญของหน้าตัดดินดี เกิดในสภาพที่คล้ายคลึงกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Reddish Brown Lateritic Soils ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A2-Bt-C หรือ R เจอทั่วไปในรอบๆภูเขารวมทั้งที่ลาดตีนเขาหรือที่ราบขั้นบันไดเก่า วัตถุแหล่งกำเนิดดินมาจากหินหลายหมวด โดยมากเป็นหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดถึงเป็นกลาง ดินมีการระบายน้ำดี ลักษณะเนื้อดินเปลี่ยนแปลงได้มากตั้งแต่ค่อนข้างจะหยาบคายจนกระทั่งค่อนข้างจะละเอียด สีจะออกแดง เหลืองคละเคล้าแดงรวมทั้งเหลือง มีชั้น E ที่ค่อนข้างแจ่มกระจ่าง มีสีจางหรือเทากว่าชั้นอื่น แล้วก็อาจมีเศษหินที่ย่อยสลาย หรือ พลินไทต์ปนเปอยู่ด้วยในดินล่าง ตัวอย่างตัวอย่างเช่น ชุดดินท่ายาง โพนวิสัย จังหวัดชุมพร หาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต เป็นต้น จัดว่าเป็นกรุ๊ปดินที่พบมากกรุ๊ปหนึ่งในประเทศไทย
 -ชุดดินอ่าวลึก
Reddish Brown Lateritic soils
เป็นดินเก่า มีความเจริญของหน้าตัดดี มีสาเหตุจากวัตถุแหล่งกำเนิดที่เป็นวัตถุตกค้างของหินที่มีปฏิกิริยาเป็นกลางรวมทั้งที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง ลักษณะหน้าตัดดินเป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี ดินชั้นบนมีสีน้ำตาลเข้ม หรือสีน้ำตาลแดง มีเนื้อดินตั้งแต่ดินร่วน (loam) ถึง ดินร่วนเหนียว (clay loam) ส่วนชั้นดินด้านล่างมีเนื้อดินเป็นดินร่วนเหนียว ถึงดินเหนียว (clay) ที่มีสีแดง ลักษณะของดินแสดงการชะล้างสูง แล้วก็อาจเจอชั้นหินแลงในด้านล่างของหน้าตัดดิน ลักษณะดินจะคล้ายกับดินในกรุ๊ปดินหลัก Red Brown Earths ที่แตกต่างกันเป็นจะมีเป็นกรดมากกว่า pH ประมาณ 5-6 ชุดดินที่สำคัญเป็น ชุดดินลี้ บ้านจ้อง อ่าวลึก จังหวัดตราด เป็นต้น
-ชุดดินปากช่อง
Red Brown Earth
เป็นดินที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับหินปูน หรือหินที่มีปฏิกิริยาเป็นด่าง แล้วก็จะมีความเชื่อมโยงกับหินดินดานด้วย ดินมีสีแดง มีความก้าวหน้าของหน้าตัดดี เป็นแบบ A1-A3-Bt-C หรือ R เนื้อดินเป็นดินเหนียว มีการระบายน้ำดี กำเนิดในรอบๆที่ราบซึ่งเกิดขึ้นจากกษัยการ หรืออาจจะเกิดตามไหล่เขาได้ ดินเหล่านี้มีลักษณะสีดิน และก็การเรียงตัวของชั้นดินใกล้เคียงกับดินในกลุ่มดินหลัก Reddish Brown Lateritic มากมายต่างกันที่ความเป็นกรดเป็นด่างของดิน โดยที่ Red Brown Earth มีค่าความเป็นกรดเป็นด่างสูงขึ้นมากยิ่งกว่า (pH ราว 6.5-8.0) ชุดดินที่สำคัญคือ ชุดดินปากช่อง เป็นกรุ๊ปดินที่มีการปลูกพืชไร่และทำสวนผลไม้กันมาก
-ชุดดินยโสธร
Red Yellow Latosols
เป็นดินที่มีการระบายน้ำดีจนถึงดีเกินความจำเป็น แก่มากมาย หน้าตัดดินลึก มีลักษณะที่หมายความว่ามีการชะละลายสูง ความเจริญของหน้าตัดดี ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-B (Box) หรือ A1-A3-B (Box) พบเป็นหย่อมๆในรอบๆลานกระพักสายธารขั้นสูง เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากตะกอนน้ำพาเก่ามากมาย มีทรัพย์สมบัติด้านกายภาพดี แต่สมบัติทางเคมีไม่ค่อยดี มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีสีแดงหรือเหลืองตลอดหน้าตัดดิน ดินบนเนื้อดินหยาบคาย ดินล่างมีพวกเซสควิออกไซด์สูง บางที่เจอศิลาแลงในตอนล่างของหน้าตัดดิน และไม่พบการเคลือบผิวของดินเหนียวในชั้น B ชุดดินที่สำคัญ อย่างเช่น ศรีราชา จังหวัดยโสธร
-Reddish Brown Latosols
กำเนิดในบริเวณที่เกี่ยวพันกับภูเขาไฟ วัตถุแหล่งกำเนิดเป็นตะกอนหลงเหลือ หรือขี้ตะกอนดาดเชิงเขา ของหินที่เป็นด่างเช่น บะซอลท์ แอนดีไซต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำดี และวิวัฒนาการของหน้าตัดดี มีหน้าตัดดินแบบ A-Box (ox = ออกไซด์ของเหล็ก) เนื้อดินเป็นดินเหนียวสีแดง สีแดงปนน้ำตาล มีความร่วนซุยดี เป็นดินลึกมาก มักจะเหมาะกับการใช้ทำสวนผลไม้ ตัวอย่างเช่น ชุดดินท่าใหม่
-Organic soils
Organic soils หรือเรียกว่า Peat and Muck soils เป็นดินที่มีลักษณะแตกต่างไปจากกลุ่มดินอื่นๆเนื่องจากว่าเป็นดินที่มีอินทรีย์คาร์บอนอยู่ในส่วนประกอบมากกว่าจำนวนร้อยละ 20 โดยน้ำหนัก หรือประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ล้วนๆพบในรอบๆแอ่งต่ำมีน้ำขังอยู่เกือบจะตลอดปีรวมทั้งมีการสะสมของอุปกรณ์ดินอินทรีย์สูง สำหรับในประเทศไทยมักพบทางภาคใต้ ในจังหวัดนราธิวาส โดยยิ่งไปกว่านั้นในพื้นที่พรุ ลักษณะเด่นก็คือสีจะคล้ำ มีอินทรีย์วัตถุสูง เป็นกรดจัด มีการพัฒนาหน้าตัดดินน้อย ลักษณะหน้าตัดเป็นแบบ A-C เมื่อระบายน้ำออก จะหดตัวได้มาก เป็นต้นว่า ชุดดินจังหวัดนราธิวาส พบมากในภาคใต้ของเมืองไทย

 
กล้องวัดมุมอิเล็กทรอนิกส์ ยี่ห้อ Leica Builder 100 - T100 9"
 
1.กล้องเล็งเป็นระบบเห็นภาพตั้งตรง
2. กำลังขยาย 30 เท่า
3. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเลนส์ปากกล้องไม่ต่ำกว่า 40 มิลลิเมตร
4. ขนาดความกว้างของภาพที่เห็นในระยะ 100 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.6 เมตร หรือ 1องศา 30 ลิปดา
5. ระยะมองเห็นภาพชัดใกล้สุดไม่เกิน 0.9เมตร
6. ค่าตัวคูณคงที่ 100
7. ค่าตัวบวกคงที่ 0
8. กำลังในการขยายภาพ 3 ฟิลิปดา
9. เป็นกล้องแบบอิเล็กทรอนิกส์ระบบวัดมุมแบบ Absolute Reading
10. หน่วยวัดเป็น องศา ลิปดา ฟิลิปดา
11. แสดงค่ามุมที่วัดได้ละเอียดโดยตรงไม่เกิน 5 ฟิลิปดา และ 10 ฟิลิปดา
12. ค่าความถูกต้องในการอ่านมุม ( Accuracy ) ไม่เกิน 9 ฟิลิปดา
13. หน้าจอแสดงผลเป็น LCD 1 หน้าจอ มีระบบให้แสงสว่างหน้าจอขณะทำงานและสามารถบอกระดับพลังงานได้
14. ความไวของระดับฟองกลม 10ลิปดา 2 มม.
15. ความไวของระดับฟองยาว 60ฟิลิปดา / 2 มม.
16. กล้องส่องหัวหมุด ( Optical Plummet ) กำลังขยาย 3 เท่า ปรับความคมชัดได้ตั้งแต่ระยะ 0.5 เมตร ขึ้นไป
17. สามารถแสดงผลทั้งเป็นมุมราบและมุมดิ่ง

 
การวัด (Measurement)
การวัด (Measurements) เป็นกรรมวิธีพื้นฐานของการได้มาซึ่งค่าสังเกต (Observations) ของข้อมูลตามที่ต้องการ เมื่อได้ก็ตามที่มีการวัด เมื่อนั้นย่อมมีความคลาดเคลื่อน (Errors) ขึ้นตามมาทุกครั้ง ดังนั้น จึงไม่มีการวัดครั้งใดที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนอยู่ด้วย นั่นคือ ในการวัดทุกครั้งจำเป็นจำต้องมีการประเมินค่าความถูกต้อง (Accuracy) และค่าความแม่นยำ (Precision) และนั่นหมายถึง ในศึกษาถึงความถูกต้องของการวัดจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเข้าใจถึงธรรมชาติ ชนิด และ ขนาดของความคลาดเคลื่อนที่แต่ละกระบวนการวัดด้วย
การวัดและมาตรฐาน (Measurement and Standards)

  • การวัด เป็นกระบวนการหาขนาด ปริมาณ ของสิ่งที่ต้องการวัดด้วยการเทียบกับมาตรฐานอันหนึ่งที่ใช้ในการหาขนาดและปริมาณต่างๆ เช่น
  • ความยาว น้ำหนัก ทิศทาง เวลา ตลอดจน ปริมาตร ตัวอย่างของการเทียบกับสิ่งที่เป็นมาตรฐาน เช่น ความยาวมาตรฐาน 1 เมต