Apple Watch 6 สมาร์ทวอทช์ในเจเนอเรชันที่ 6 จาก Apple มาพร้อมกับความชำนาญการวัดระดับออกซิเจนในเลือด, Always on Display ที่สว่างกว่าเดิม และคุณสมบัติใหม่ๆ ใน watchOS 7 เช่น ติดตามพฤติกรรมการนอน อีกความเปลี่ยนแปลงคือการที่ Apple เลือกใช้วัตถุแนวนาฬิกาของ Apple Watch ในรุ่นซิลิโคนแปลงเป็นแบบ Solo Loop สวมเข้าไปให้แนบรัดกับข้อมือ แทนที่จะเป็นการกลัดเข็มเหมือนกับในรุ่นก่อนๆ ชิ้นส่วนตอนตัวของผู้เขียนมอง Apple Watch เป็นนาฬิกาผู้ช่วยอัจฉริยะที่ช่วยเหลือให้ไลฟ์สไตล์ของผู้ใส่ฉลุยสบายขึ้นรอบด้าน แต่หากคุณกำลังมองหานาฬิกาที่เก่งในด้านใดด้านหนึ่งแบบไปสุดเป็นหลัก เช่น เดินป่า, การดำน้ำ อาจจะต้องหันไปมปัญหาองตัวเลือกอื่นๆ แทน
“ต่างจากสมาร์ทวอทช์แบรนด์อื่นๆ เช่นใด?”เหล่านี้เป็นแค่กระทู้ถามบางเปลาะเท่านั้นที่เราได้รับจากคนรอบตัวที่เกิดทั้งความสงสัยและสนใจอยากจะรู้จักเจ้า Apple Watch Series 6 ให้มากขึ้น ก่อนจะตัดสินใจจ่ายค่าตัวหลักหมื่นพาเจ้านาฬิกาอัจฉริยะเรือนนี้ขึ้นมาประดับสวมใส่อยู่บนข้อมือของตัวเอง และนี่คือมุมมองภูมิปัญญาเห็นที่เรามีต่อ Apple Watch 6 จากการใช้งานจริงนานกว่า 2 เดือนเต็ม ว่าโดยสรุปแล้วเจ้านาฬิกาอัจฉริยะจาก Apple เรือนนี้มีความเด่นอย่างไร เหมาะสมกับผู้ใช้งานที่มีไลฟ์แบบแบบไหน แล้วอะไรคือไอเท็มที่คุณจะได้รับจากมัน?
ตัวเรือนยังงามตาเช่นเคย เพิ่มเติมคือ ‘สีใหม่’ มีให้เลือกเยอะขึ้น และความชั่วกาลนานคงทนถาวรเริ่มแรกกันที่ดีไซน์ก่อน เพื่อที่จะ Apple Watch 6 ที่เราใช้งานนั้นเป็นตัวเรือนแบบสเตนเลส ความจุหน้าปัด 44 มม. สีดำกราไฟต์ (ในโมเดลสเตนเลสแล้วก็มีสีทองและสตางค์ให้เลือกอีก 2 สี) ตระกูลแบบ Milanese Loop สีเดียวกับตัวเรือน เข้าคู่กันลงตัวพอดีเป๊ะ สนนราคาอยู่ที่ 25,900 บาท ซึ่งวางโครงตัวเรือนโดยรวมจะไม่ไหวแหวกแนวหรือเปลี่ยนแปลงแปลงไปจากรุ่นที่แล้วอย่าง Watch 5 มากนัก กรณีในรุ่นอะลูมิเนียมจะมีสีให้เลือกเพิ่มขึ้นหลายหลากจาก Watch 5 อยู่พอสมควรคือ เงิน, ฟ้า, เทาสเปซเกรย์, สีทอง และสีแดง (PRODUCT)RED และรุ่นไทเทเนียมมีสีให้เลือก 2 สีคือ ดำธรรมชาติและดำสเปซแบล็ก
เปิดกล่อง Apple Watch แวบแรกที่เปิดกล่อง หยิบเอาตัวเรือนออกมาจากกล่อง ความรู้สึกที่มีต่อ Watch 6 คือ เราพบว่าตัวเรือนงดงามหรูหราสมมูลค่าการเป็น Apple Watch มากๆ (แม้จะหนักเกินแปลงไปจาก Watch 5 ก็ตาม) ด้วยความที่วัสดุเป็นแบบสเตนเลส มันจึงเงางามและรีเฟลกซ์แสงที่ตกกระทบมาบริเวณตัวเรือนได้เป็นอย่างดี แต่ในเวลาเดียวกัน จุดตรวจดูของการที่ตัวเรือนเป็นแบบสเตนเลสคือหากคุณไม่หมั่นเช็ดถูทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ กรอบตัวเรือนซึ่งจะต้องสัมผัสกับนิ้วอยู่บ่อยๆ ก็จะเป็นรอยนิ้วมือคราบมันได้ง่ายเช่นกัน
- ขณะที่บริเวณกระจกหน้าปัดเรือน ในรุ่นสเตนเลสและไทเทเนียมจะใช้จอแบบ ‘ผลึกแซฟไฟร์’ และรุ่นอะลูมิเนียมจะใช้จอภาพกระจก Ion‑X ซึ่งในมุมของผู้ใช้งาน เรามองว่าวัตถุกระจกแบบแซฟไฟร์ชั่วกาลนานและคงทนมากๆ ไม่ค่อยเป็นรอยเรียบง่ายซึ่งครั้งหนึ่งเราเคย Drop Test ด้วยความไม่ตั้งมั่น (พลาดทำตกตอนกำลังจะสวมในข้อมือ) แต่ตัวหน้าปัดกลับไม่ปรากฏรอยบิ่นหรือรอยขีดข่วนใดๆ เลยแม้แต่น้อย (ขอเตือนว่าคุณไม่ควรไป Drop Test ด้วยตัวเองเด็ดขาด เนื่องจากไม่แน่อาจจะไม่โชคดีเปรียบเสมือนกับเรา)
- ต่างจากโมเดลแบบอะลูมิเนียมที่ใช้กระจกหน้าปัดแบบ Ion‑X ซึ่งเราเคยมีประสบการณ์ใช้งานในรุ่น Watch 4 แล้วพบว่ามันเป็นรอยง่ายมากๆ เนื่องด้วยแค่เผลอทำหน้าปัดกระแทก เฉี่ยวขอบโต๊ะ มันก็พร้อมจะเป็นรอยขีดข่วนก่อกวนได้แล้ว ฉะนั้นถ้าต้องเลือกจริงๆ เราขอชูป้ายไฟเชียร์ให้คุณพิจารณาตัวเครื่องที่ใช้วัตถุแบบสเตนเลสขึ้นไปน่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและทนทานมากกว่า
- อีกจุดความแปลงแปลงคือการที่ Apple เปลี่ยนมาใช้วัสดุพันธุ์นาฬิกาแบบรัดแนบสนิทไปกับข้อมือ เช่น กลุ่มซิลิโคนแบบ Solo Loop Band ที่ปลอดเข็มมาให้กลัดแล้ว แต่จะใช้วิธีการสวมเข้าไปให้แนบกับข้อมือเลย (ต้องวัดความจุข้อมือก่อนเลือกซื้อกลุ่ม) ซึ่งจุดพินิจคือเมื่อใช้งานไปเรื่อยๆ ตัวล่าช้าไม่แน่อาจจะขยายใหญ่และหลวมได้ หรือถนนแบบ Braided Solo Loop ซึ่งใช้วัตถุแบบผ้าถักรีไซเคิลผสมเข้ากับด้ายซิลิโคน
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
apple watchTags : apple watch,apple watch