ผู้เขียน หัวข้อ: ทาสีด้วยตัวเอง การทาสีไม้  (อ่าน 2166 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เอก

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 24
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
ทาสีด้วยตัวเอง การทาสีไม้
« เมื่อ: 11 มิถุนายน 2017, 11:46:46 »
นึกอยากทาสีโน่นนี่ด้วยตัวเอง เผื่อจะทำงาน DIY เล็ก ๆ น้อย ๆ save กะตังค์
 ก็นี่แหล่ะน๊า  มีปัญญาผ่อนบ้าน แต่ไม่มีตังค์ซื้อของเข้าบ้าน  ... แล้วเมื่อไหร่จะได้อยู่เนี๊ยะ 
 พอดีที่บ้านต่างจังหวัดมี plan ทาสีบ้านใหม่ด้วย เผื่อได้ลองฝีมือซักห้อง ฮ่ะ ฮ่ะ
 
 
 ขั้นตอนการทาสี
 ขั้นแรก : การเตรียมผิว
 เพื่อให้สียึดเกาะกับพื้นผิวปูน ไม้ โลหะได้ดี อีกทั้งยังสวยงามและคงทน ก่อนทาสีทุกครั้งต้องทำความสะอาดพื้นผิวให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยขจัดฝุ่น คราบไขมัน สนิม รา ตะไคร่น้ำออกให้หมด พื้นผิวที่จะทาสีต้องแห้งสนิทและอยู่ในสภาพเรียบร้อย สำหรับผิวยิปซั่ม ต้องทำการฉาบเรียบและทิ้งไว้ให้แห้ง ขัดด้วยกระดาษทราย หลังจากนั้นปัดฝุ่นออก ทั้งนี้ในส่วนที่มีงานระบบเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น โคมไฟ ปลั๊ก สวิตซ์ เป็นต้น จะต้องติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและสามารถใช้งานได้ดี หลังจากนั้นจึงทาสีได้ สำหรับผิวไม้ต้องผ่านการอบแห้ง หรือตากจนแห้งสนิท หากผิวมีรอยชำรุด ต้องซ่อมก่อนโดยใช้สีโป๊ว หรือดินสอพองทิ้งไว้ให้แห้งสนิท จากนั้นขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบ ปัดฝุ่นออกให้หมด แล้วจึงทาสีต่อไป
 
 ขั้นที่สอง : ทาสีรองพื้น
 สีรองพื้นคือสีที่ใช้ทาบนผิวชนิดต่างๆ ก่อนทาสีทับหน้า ทำหน้าที่เสริมให้สีทับหน้ายึดเกาะกับพื้นผิวได้ดี และป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างพื้นผิวกับสีทับหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
 พื้นผิวปูน : สีรองพื้นจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ความเป็นด่างของผนังปูน ทำปฏิกิริยากับสีทับหน้า สีจึงสวย ทนทาน ไม่หลุดล่อนง่าย
 
 พื้นผิวไม้ : สีรองพื้นช่วยป้องกันยางไม้หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ที่เคยทาไว้ ไม่ให้ซึมออกมาผสมกับสีทับหน้า สีจึงไม่เป็นรอยด่าง
 
 พื้นผิวเหล็ก : สีรองพื้นช่วยป้องกันการเกิดสนิม และเสริมการยึดเกาะของสีทับหน้า สีจึงสวยทนนาน
 
 ขั้นที่สาม : ทาสีทับหน้า
 สีทับหน้ามีสีให้เลือกมากมาย โดยทั่วไปมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สีน้ำ และสีน้ำมัน ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังนี้
 สีน้ำ ( EMULSION ) : ใช้ทาบนพื้นผิวปูน ,เนื้อสีด้าน กึ่งเงา ,แห็งเร็ว ( 20 นาที - 1 ชั่วโมง ) ,กลิ่นไม่แรง ,ตัวทำละลายเป็นน้ำ ,ราคาถูก
 
 สีน้ำมัน ( ENAMEL ) : ใช้ทาบนพื้นผิวไม้ ,โลหะ  ,เนื้อสีเงามาก ,แห้งช้า ( อย่างน้อย 6 ชั่วโมง )  ,กลิ่นแรง  ,ตัวทำละลายเป็นน้ำมัน  , ราคาแพงกว่า หรือ ทินเนอร์
 
 นอกจากนี้สีน้ำและสีน้ำมันยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ สีภายใน และสีภายนอก โดยสีที่ใช้ทาภายนอกมีความทนทานต่อทุกสภาพดินฟ้าอากาศ ขณะที่สีภายในจะใช้ภายในอาคารเท่านั้น แต่สีทาภายในจะให้ความเนียน สวย และทำความสะอาดได้ง่าย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้สีให้เหมาะกับสถานที่ที่จะใช้งาน
 การทาสีทับหน้าควรทาอย่างน้อย 2 เที่ยว โดยทิ้งระยะให้สีที่ทาเที่ยวแรกแห้งสนิท แล้วจึงทาทับอีกครั้ง
 หมายเหตุ :
 การเลือกใช้สีรองพื้นและสีทับหน้านั้น ควรเลือกใช้สีให้ถูกประเภทของงาน
 
 ควรเลือกใช้สีจากผู้ผลิตเดียวกันทั้งระบบ
 ขอบคุณที่มาจาก http://www.konbaan.com/
 --------------------------------------------
 
 
 สีนี้สำคัญไฉน
 สีทาผนังบ้าน
 สำหรับผนังปูน ก็จะนิยมใช้สีน้ำพลาสติกที่มีส่วนผสมของอะคลีลิค 100% หรือที่เราเรียกกันว่า สีน้ำอะคลีลิค นั่นเอง มีทั้งชนิด ด้าน และแบบ กึ่งเงา
 สีด้าน จะดูสะอาด กระจ่างแต่ไม่กระจายแสง สีนวลใสแต่จะสกปรกง่าย
 สีกึ่งเงา จะดูนวลเมื่อโดนแสงไฟหรือแสงแดด เช้ดทำความสะอาดได้ เงาเล็กน้อย ลูบดูจะลื่นมือ ฝุ่นจะไม่ค่อยจับผนัง
 การทาสีผนังต้องมีการเตรียมพื้นผิวดังนี้
 ลอก ขูด หรือขัดทำความสะอาดสีเก่าออกให้หมดด่อน ใช้กระดาษทรายบางขัดเบาๆ แล้วปัดฝุ่นออกให้หมด บางทีก็สามารใช้น้ำฉีดได้
 ทาสีรองพื้นปูนเก่า สำหรับบ้านที่สร้างมานานกว่าห้าปี สีรองพื้นปูนเก่าจะออกใสๆ ทารองพื้นรอบหรือสองรอบแล้วแต่พื้นผิว
 ทาสีรองพื้นปูนใหม่ สำหรับบ้านที่สร้างมาไม่ถึงห้าปี สีรองพื้นปูนใหม่จะออกสีขาว
 ทาสีจริงอย่างน้อยสองรอบแล้วทิ้งไว้ให้แห้ง
 
 สำหรับผนังไม้หรือส่วนที่สร้างจากไม้ ถ้าจะให้ทนทานรักษาง่ายก็มักทาด้วยสีน้ำมัน หรือเป็นสีทาไม้โดยตรง ซึ่งจะทาด้วยสีย้อมไม้ตามชอบก่อนแล้วจึงทาสีเคลือบเนื้อไม้อีกที สีทาไม้จะมีส่วนผสมที่จะรักษาเนื้อไม้ให้ปราศจาก ปลวก กันความชื้นและกันเชื้อรา
 วิธีการทาสีไม้ ก็เริ่มจากการขัดเอาสีเก่าออกให้หมดแล้วทาสีย้อมไม้สองรอบ จากนั้นทาสีเคลือบทับให้เงาและเป็นการป้องกันเนื้อไม้ด้วย
 
 สำหรับส่วนที่ทำด้วยเหล็ก จะใช้สีน้ำมันทา อันนี้ต้องทารองพื้นด้วยสีกันสนิมก่อนแล้วทาสีจริงตามชอบ
 วิธีทาสีเหล็กประตูหรือเหล็กดัด ก็ เริ่มจากการลอกสีเก่าออก ให้ใช้น้ำยาลอกสีเหล็ก หลังจากลอกสีแล้วให้ขัดส่วนที่เป็นสนิมออกให้หมดก่อน ล้างทำความสะอาดตากให้แห้ง จากนั้นก็ทาสีรองพื้นกันสนิม หรือถ้าสีที่ใช้มีส่วนผสมกันสนิมอยู่แล้วก็ไม่ต้องทาสีกันสนิมแต่ทาสีจริงได้เลย ทาอย่างน้อยสองรอบแล้วทิ้งไว้มากกว่า24 ชั่วโมงเพราะสีน้ำมันจะแห้งยากและมีกลิ่นเหม็นมาก
 อ้อ รอยร้าวต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากโครงสร้างจะต้องทำการเซาะให้รอยแตกนั้นกว้างและลึกประมาณ 1 cm แล้วใช้อะคลีลิคอุดรอยร้าว จะออกเป็นหลอดที่เป็นครีมสีขาว บีบอุดรอยที่เซาะแล้วลูบให้เรียบไปตามแนวผนัง จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้งสนิทแล้วจึงทาสีรองพื้นทับแล้วทาสีจริง เท่านี้รอยร้าวก็ถูกปกปิดแล้ว สีบางชนิดอาจช่วยปกปิดได้แต่ก็จะไม่มิดถ้าไม่มีการอุดฉาบเสียก่อน ถ้าฉาบทับอย่างเดียวหลังทาสีทับก็จะเห็นร่องรอย ฉะนั้นทำการอุดรอยร้าวก่อนทาสีจะได้ผลที่สุด
 
 สีที่มีคุณภาพและเป็นที่นิยมรวมทั้งราคาสมกับคุณภาพของสี ได้แก่
 TOA : TOA 7 in ONE, Super Shield Duraclean, Super Shield
 Captain : Parashield Studio Acrylic Semi-Gloss, Longlife
 ICI : Dulux
 
 -------------------------------------------------------
 
เลือกสีอย่างไรให้โดน
การจะเลือกสีจากไกด์สีที่มีนับร้อยสีดูจะเป็นเรื่องยาก ยิ่งดูก็ยิ่งลังเลว่าสีที่เลือกจะเข้าคู่กับสีไหนได้บ้าง มี 3 วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเลือกสีให้เข้ากัน

 
เลือกสีที่เป็นคู่สี
ใช้สีที่เป็นเฉดเดียวกันแต่มีความอ่อนเข้มไล่น้ำหนักสีต่างกันไป เช่น สีแดงคู่กับสีชมพู
 เลือกสีที่ใกล้เคียงกัน สีที่มีเฉดใกล้เคียงกัน ดูได้จากไกด์สีที่ร้านขายสี เช่น สีน้ำเงินอมเขียวใช้คู่กับสีเขียว
 
เลือกใช้สีตรงกันข้าม
โดยจับคู่เฉดสีที่อยู่ตรงข้ามกันในวงจรสี เช่น สีแดงกับสีเขียว 
 
 
 เตรียมพื้นผิวก่อนทาสี
 ขั้นตอนการทาสีที่ดูเหมือนง่าย แต่หากไม่มีการเตรียมพื้นผิวก่อนก็กลายเป็นเรื่องยากได้ พื้นผิวแต่ละชนิดมีวิธีการเตรียมความพร้อม ก่อนทาสีต่างกันออกไปดังนี้
 
 เตรียมพื้นผิว
 ปูนเก่า ขัดทําความสะอาดด้วยกระดาษทราย ซ่อมแซมและอุดรอยร้าวด้วยสีโป๊
 
 ปูนใหม่ ต้องรอให้ปูนแห้งไม่น้อยกว่า 28 วันแล้วจึงทาสี
 
 ไม้ใหม่
ขัดไม้ให้มีผิวเรียบทําความสะอาดจนไม่มีฝุ่น   
 
 ไม้เคยทาสีแล้ว ขัดลอกสีเดิมออกให้หมดแล้วทําความสะอาด
 เหล็กใหม่ ขัดทําความสะอาดพื้นผิวอย่าให้มีฝุ่น สนิม คราบไข
 เหล็กเคยทาสีแล้ว ใช้กระดาษทรายขัดที่สีเดิมเพื่อช่วยในการยึดเกาะของสี ถ้าสีเสื่อมสภาพต้องลอกออกให้หมดก่อนทาสี
 
 สีรองพื้น
 
 
 ปูน ทาด้วยสีรองพื้นผสมกับทินเนอร์ หรือ สารละลายเฉพาะ (ตามชนิดของสีที่ใช้)อัตราส่วน 10 - 20% โดยปริมาตร แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5 ชั่วโมง
 ไม้ เก็บรอยแตกของไม้ด้วยวัสดุอุดโป๊วแล้วพ่นหรือทาด้วย สีรองพื้นปรับระนาบพื้นผิวและ อุดเสี้ยนไม้ 2 เที่ยว
 เหล็ก พ่นหรือทาสีรองพื้นกันสนิม 2 เที่ยว ทิ้งให้แห้ง 5 - 6 ชั่วโมง จึงทาสีทับหน้าถ้าเป็นโลหะผสม สังกะสีหรืออะลูมิเนียมให้รองพื้นด้วยน้ำยาวอช ไพรเมอร์ 1 เที่ยว แล้วจึงทาสีรองพื้นกันสนิม
 
 สีทับหน้า (สีจริง)
 ปูน ทาด้วยสีโดยผสมกับทินเนอร์ หรือ สารละลายเฉพาะ (ตามชนิดของสีที่ใช้)อัตราส่วน
 10 - 20% โดยปริมาตร แล้วทิ้งให้แห้ง จึงทาสีทับอีกชั้น
 ไม้ พ่น หรือ ทาด้วยสีตกแต่งภายใน 2 - 3 เที่ยว ถ้าทาสีย้อมไม้ต้องขัดด้วยกระดาษทรายก่อนทาสี 2 เที่ยว
 เหล็ก พ่น หรือทาด้วยสีตกแต่งภายใน 2 - 3 เที่ยวแล้วทิ้งให้แห้ง 8 - 10 ชั่วโมง จึงพ่นหรือทาสีทับอีกครั้ง หากต้องการพื้นผิวด้านให้ผสมสี กับหัวเชื้อด้าน หรือ ใช้าสีด้านในการทารอบสุดท้าย
 
 สีแบบไหนใช้ทําอะไรสีน้ำอะครีลิก เนื้อสีมีความเหนียว ยืดหยุ่นได้ดี สามารถปกปิดรอยแตกลายงาได้ ป้องกันน้ำซึมผ่านฟิล์มสีและป้องกันเชื้อรา ถ้าเป็นกึ่งเงาสามารถเช็ดล้างทําความสะอาดได้ สามารถใช้ได้ทั้ง ผนังภายนอกและภายในอาคาร
 
 สีลวดลายวอลล์เปเปอร์ เป็น ระบบสีที่สามารถสร้างให้เกิดลวดลายบนผนังปูน
 ได้อย่างสวยงามด้วยวิธีง่ายๆ โดยการใช้สีวอลล์เปเปอร์ จะมี 3 ส่วน คือ
 1. สีพื้น 2. สีสลับลาย 3. น้ำยาเคลือบเงาผิว ซึ่งเมื่อทาเสร็จแล้วก็จะได้เนื้อสีกึ่งเงากึ่งด้าน
 
 สีน้ำมัน เหมาะ กับงานประเภทงานเหล็ก งานไม้และงานโลหะ มีให้เลือกทั้งแบบเงาและแบบด้าน แต่ชนิดด้านจะมีเฉดสีให้เลือกน้อยกว่าและมีราคาสูงกว่า หากนําไปทาไม้จะมองไม้เห็นลายไม้เพราะเนื้อฟิล์มหนา ใช้ได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร
 
 สีย้อมไม้ ลักษณะ สีเป็นการโชว์ลายไม้ โดยมีให้เลือกทั้งชนิดกึ่งเงา และชนิดเงา เหมาะกับการใช้งานที่ฝาผนังบ้าน วงกบ ประตู หน้าต่างไม้ ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร
 
 น้ำยารักษาเนื้อไม้ เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อความเงางามของเฟอร์นิเจอร์ไม้ พื้นไม้ เช่น ยูรีเทน หรือ แล็คเกอร์ ใช้เพื่อปกป้องเนื้อไม้จากการขูดขีด ช่วยให้ไม้มีความเงางาม น้ำยามีสีใสเพื่อโชว์ความสวยงามของลายไม้
 
 การทาสีไม้
 หลังจากทำขัดผิวไม้เสร็จ ใช้แอลกกอฮอล์ ผสม ชะแล็กครับ ชะแล็กจะมีสีตั่งแต่เบอร์1-8ครับ แล้วแต่ชอบออกแนวไหน ตอนซื้อขอดูเฉดสีตัวอย่างได้ครับ ส่วนเบอร์8จะเป็นนชะแล็กขาวไม่มีสี ไว้เคลือบผิวอย่างเดียวโชว์ผิวเนื้อไม้
 
 ขั้นตอน ก็คือเอา แอลกกอฮอล์ มาผสม ชะแล็ก อย่างละประมาณครึ่งๆ ชะแล็กมากเกร็ดก็จะหนืดมาก กอฮอล์ก็จะช่วยละลายชะแล็กให้ลงไปในเนื้อไม้ ผสมชะแล็กน้อยไปก้ต้องลงหลายๆรอบ
 พอผสมเสร็จ นำผ้าที่ไม่เป็นขลุยมาจุ่มแล้วนำมาทาที่ผิวไม้ให้ชุ่ม เหมือนล้างผิวไม้ไปในตัว  ทำเสร็จปล่อยให้แห้งก่อน
 อธิบายเรื่องสีนิดหนึ่ง
 ชะแล็กเบอร์1-7จะเป็นสีโอ๊คต่างๆ ออกเข้มออกเหลืองออกแดงแล้วแต่ครับ เวลาใช้จะใช้ไม่มาก สมมติจะใช้สีเบอร์4 วิธีการของผมคือ ใช้แอลกกอฮอล์40%ผสม ชะแล็กเบอร์8 40% แล้วก็ตามด้วยเบอร์4 20% ครับ
 ต้องลองผสมสัดส่วนแล้วเทสดูบนเนื้อไม้ต่างๆดู แล้วก็จำสัดส่วนการผสมไว้ก็จะง่ายในครั้งต่อๆไป
 
 หลังจากทาชะแล็กไปหนึ่งรอบ เอามือลูบที่ไม้จะมีความรู้สึกสากขึ้นจากที่ขัดผิวไม้ไปแล้ว...ใช้กระดาษทรายน้ำเบอร์1000ครับ เอามาลูบๆๆๆๆขัดแบบเบาๆ จนไม้เริ่มเนียนอีกครั้งแล้วก็ลงชะแล็กใหม่อีกที...แล้วก็ทำซ้ำอีก อย่างน้อยรวมทั้งหมดไม่ควรต่ำกว่าสองครั้ง สามครั้งกำลังดี หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับความเข้มของสีเนื้อไม้ที่เคลือบไปว่าเข้มพอที่ต้องการหรือไม่ เกร็ดชะแล็กจะเข้าไปอุดเสี้ยนไม้  ยิ่งลงมากขัดมากไม้ยิ่งเนียน แต่เนียนมากความเป็นธรรมชาติของผิวไม้ก็จะลดลงไปด้วย ต้องมีความพอเหมาะพอดี
 
 เมื่อทำขั้นตอนการลงชะแล็กและขัดผิวเรียร้อย ขั้นตอนต่อมาคือการลงแล็กเกอร์ ผิวที่ต้องการในตอนสุดท้ายคือผิวไม้แบบด้านๆ...
 แต่ขั้นตอนการลงแล็กเกอร์แรกคือต้องทาเป็นแล็กเกอร์เงาเคลือบผิวไม้เป็นฟิลม์ชั้นแรกก่อน ผสมแล็กเกอร์เงากับทินเนอร์[ให้ใช้ทินเนอร์อย่างดีนะครับ แบบเป็นขวดใช้ไม่ได้]
 
 ให้คนอัตราส่วนให้เข้ากันลงเป็นเนื้อเดียวกันไม่เหลวไม่ข้นจนเกินไป เอาแบบที่คิดว่าแปรงทาได้...มือใหม่ต้องลองเทสดูจะค่อยๆเรียนรู้น้ำหนักมือและอัตราการผสม
 
 ปัญหาอย่างหนึ่งที่เป็นอุปสรรคมามากอีกอย่างคือแปรง ไม่ว่าแปรงแบบขนกระต่ายหรือแบบใหม่ ขนมักหลุดง่ายเวลาทาแล็กเกอร์  วิธีแก้อันดับแรกอย่างง่ายๆนำแปรงมาแล้วเอาแล็กเกอร์เพียวๆหยอดตรงช่วงรอยต่อขนแปรงกับตัวด้ามแปรงทิ้งไว้คืนสองคืนจนแห้งสนิท แล้วนำมาลองจุ่มกับทินเนอร์ลองดึงขนแปรงออกดูว่ามีอันไหนหลุดก็เอาออกให้หมดก่อนนำมาใช้ ปัญหาจะเกิดเมื่อเวลาทาแล้วขนแปรงหลุดติดไปที่เนื้อไม้ด้วย เวลาแก้ผิวเคลือบจะไม่สวยเสมอเอาครับ ต้องละเอียดทุกขั้นตั้งแต่เริ่มต้นจะดี
 
 ผสมแล็กเกอร์กับแล็กเกอร์เงาแล้ว ก็นำมาทาที่ผิวไม้ที่เตรียมไว้ ทาทีละด้าน ระวังการเยิ่มไปด้านข้าง อย่ากดแปรง พยายามตั้งแปรงให้แล้วค่อยๆทา แบบเงาทาซ้ำได้เลยก่อนแห้ง จะให้ดีทาไปทางเดียวให้หมด เมื่อแห้งแล้วค่อยกลับมาทาอีกด้านไปเรื่อยๆ สำหรับการทาแล็กเกอร์เงาอย่างน้อยต้องสองถึงสามรอบ ขึ้นอยู่กับผสมเนื้อแล็กเกอร์เงาบางไปหรือไม่ ลองสังเกตที่ผิวไม้ขึ้นเงาทั่วหรือไม่ ตอนทาแล็กเกอร์เงาก็ทำใจไว้หน่อยครับจะดูไม่สวยครับ ส่วนถ้าเป็นแบบพ่นต้องพ่นหลายรอบเพราะต้องผสมให้เหลวพอที่จะพ่นได้... ค่อยๆทาทีละด้าน แล็กเกอร์เงาจะแห้งเร็ว
 
 ขั้นตอนสุดท้ายคือทาแล็กเกอร์ด้าน แล็กเกอร์ด้านก็ผสมแบบเดียวกับแล็กเกอร์เงา แล็กเกอร์ด้านคนให้เข้ากับทินเนอร์ ให้พอเหมาะ ที่สำคัญการทาแล็กเกอร์ด้านต้องมีอุณหภมิูที่พอเหมาะ ไม่ชื้น และก็ไม่ใช่ทากลางแดด ควรดูอากาศในที่ที่จะทาว่าเป็นอย่างไร ถ้าอากาศชื้นการทาแล็กเกอร์ด้านจะขึ้นฝ้าทันที่ครับ ต้องทาใหม่ ยิ่งถ้าไม่หายต้องล้างเริ่มกันใหม่
 
 การทาแล็กเกอร์ด้านสำคัญ ต้องย้อนกลับไปที่จุดแรกทำมาแต่ต้นทางดีมาอย่างไรบ้าง จะส่งผลที่ขั้นตอนสุดท้าย การทาต้องตั้งแปรงให้ค่อนข้างตรงฉากกับพิ้นผิวที่จะทา นับความเร็วในใจได้เลยพอจุ่มแล็กเกอร์ด้านเคลียร์ออกจากแปรงไปบางไม่ให้เยิ้มติดแปรงมาก ดูพื้นทีไม้เป็นหลักว่ายาวแค่ไหน การทาต้องทามาทีเดียวไม่มีหยุดจนสุดขอบไม้ครับ ห้ามหยุดกลางคันครับ ตั้งแปรงเฉียงที่จุดแรก แล็กเกอร์ด้านจะค่อยไหลลงแล้วก็ทาพร้อมนับเป็นจังหวะความเร็วในใจประมาณ1.2.3...4เป็นวินาทีเอาครับ ตามการเคลื่อนของการทาแปรงคือการเคลื่อนที่ไปต่อหนึ่งวิ อันนี้ต้องลองครับ วิธีการทาด้วยแปรงดูครับ แล็กเกอร์ด้านจะมีความหนืดกว่าแบบเงาเนื้อจะค่อยๆไหลลงจากแปรงสู่ผิว ทาเร็วเนื้อแล็กเกอร์ด้านก็ลงมาไม่ทัน ทาช้าไปก็จะเยิ้ม ระวังเยิ้มกับขนแปรงหลุดในขั้นตอนนี้ การทาแบบด้านทาครั้งเดียว จะเห็นผลว่าด้าน ถ้าทำทุกขั้นตอนมาอย่างดี เป็นไปได้ถ้าต้องทาแล็กเกอร์ด้านเพิ่มก็ต้องทาครับ แต่ฟิลม์ก็จะเริ่มหนาตามชั้นฟิลม์ของแล็กเกอร์ไปเรื่อยๆ ถึงบอกว่าถ้าทำมาครบได้ดีทุกขั้นตอนการทาแล็กเกอร์ด้านครั้งเดียวต้องเอาอยู่ ปล่อยไว้สักห้าหกชั่วโมงต้องด้านสนิท..
 

ที่มา: http://atsometime.blogspot.com/2011/02/home.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 มิถุนายน 2017, 01:40:39 โดย เอก »