ผู้เขียน หัวข้อ: ขั้นตอนการทาสีบ้าน  (อ่าน 1633 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ เอก

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 24
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
ขั้นตอนการทาสีบ้าน
« เมื่อ: 10 มิถุนายน 2017, 00:18:39 »
การรักษาบ้านให้ดูใหม่อยู่เสมอไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่รู้วิธีอย่างเช่น การเปลี่ยนสีสันของบ้านหรือเปลี่ยนเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ ก็ทำให้บ้านดูสวยได้แล้ว เรามีคำแนะนำ 9 ข้อที่น่ารู้ในการทาสีให้ดูสดใสโดดเด่น…

1. เตรียมงบประมาณ อย่างแรกต้องคำนึงถึง เงิน ที่เราสามารถใช้จ่าย ว่าเรามีงบประมาณอยู่เท่าไหร่ซึ่งจะต้องรวมทั้ง
 ค่าสี ค่าช่างทาสี รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ

2. ถามผู้เชี่ยวชาญ ในการทาสีบ้านเราต้องรู้ว่าเราจะทาสีลงบนพื้นผิวประเภทใด ผิวปูน หรือ ผิวไม้ ใช้ทาสีภายในหรือภายนอก หากเราไม่แน่ใจว่าจะใช้ ว่าจะใช้สีอะไรดี ควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ สถาปนิก หรือช่างทาสี ซึ่งจะมีคำแนะนำดี ๆ ในการใช้สีให้ถูกประเภท และลักษณะการใช้งาน

3. เลือกสี เมื่อสอบถามผู้เชี่ยวชาญจนแน่ใจในเรื่องการใช้สีให้ถูกต้องแล้ว เลือกสีที่ตัวเองชอบ ยิ่งเป็นสีทาภายในควรให้กลมกลืนกับขอบประตู-หน้าต่าง ละถ้าพื้นผิวภายนอกเป็นปูนควรเลือกใช้สีที่มีคุณภาพสูงที่สามารถยืดอายุการใช้งานให้นานปกป้องสีบ้านจากการซีดจางที่เกิดจากแสงแดด ทนทานต่อสภาวะอากาศต่อต้านการเกิดเชื้อรา ตะไคร่น้ำ

4. เตรียมพื้นผิว ก่อนจะลงมือทาสีควร ทำความสะอาดฝุ่นละออง และใช้แปรงแซะสีเก่าที่หลุดลอกออกเช็ดให้สะอาด แล้วปล่อยให้แห้งสนิท การเตรียมพื้นผิวที่ถูกต้องจะช่วยให้สีที่ทาติดนานยิ่งขึ้น

5. ทาสีรองพื้น การทาสีรองพื้นก่อนจะช่วยยึดเกาะกับผนังได้ดีไม่หลุดออกง่าย ๆ เลือกสีรองพื้นชนิดที่เหมาะสมกับสภาพพื้นผิว เพราะสีรองพื้นสำหรับพื้นที่ยังไม่เคยทาสีมาก่อน ควรใช้สีรองพื้นที่สามารถป้องกันด่างหรือการใช้สีรองพื้นสำหรับพื้นผิวเนื้ออ่อน และไม้เนื้อแข็งที่อาจมียางซึม ออกมาได้ ควรทาสีรองพื้นที่สามารถกันยางและเชื้อรา

6. อุปกรณ์ทาสี แปรงทาสี และลูกกลิ้งมีความแตกต่างกัน แปรงทาสีสามารถ เข้าได้ทุกซอกมุมของพื้นที่ที่ต้องการทา จึงเหมาะกับในกรณีที่เตรียมพื้นผิว แบบหยาบ ๆ หรือผิวที่ไม่เรียบ การใช้แปรงทาจะทำให้สีสัมผัสกับผิวผนังในซอกมุมต่าง ๆ ได้ดี ลูกกลิ้งเหมาะสำหรับการทาในพื้นที่กว้าง ๆ ซึ่งสามารถทำให้การทาสีทำได้เร็วกว่า แต่ลูกกลิ้งจะใช้ปริมาณมากกว่าการทาด้วยแปรง

7. อุปกรณ์จำเป็นอื่น ๆ สิ่งที่ลืมไม่ได้เลยคือผ้าปูผื้นกันเปื้อนเพื่อป้องกันสี กระเด็นหรือตกหล่นพื้น บันได้สำหรับทาที่สูงและเพดาน ถาดผสมสี และ อุปกรณ์ทำความสะอาดต่าง ๆ

8. เก็บรายละเอียด เมื่อทาเสร็จแล้ว ควรตรวจสอบหาข้อบกพร่อง เช่น สีที่ทาอาจจะไม่สม่ำเสมอกัน หรือยังไม่ได้ทาในส่วนที่เป็นซอกเป็นมุม จากนั้นเก็บรายละเอียดของงานให้ละเอียดของงานให้เรียบร้อย เท่านี้ก็จะได้บ้านที่ดูใหม่ และสดใสขึ้นโดยไม่ต้องมีการตกแต่งอะไรให้สิ้นเปลือง

9. การเก็บรักษาสี หากใช้สีไม่หมดแต่เหลือจำนวนสีไม่มาก และอยากเก็บสีไว้ใช้ต่อครั้งหน้า ควรจะเทสีใส่กระป๋องที่มีขนาดเล็กปิดฝาให้แน่น เพื่อป้องกันการแข็งตัวของสีบนพื้นผิว
 
 
ประเภทของสีทับหน้า
สีทับหน้ามีสีให้เลือกมากมาย โดยทั่วไปมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ สีน้ำ และสีน้ำมัน ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันดังนี้
 
สีน้ำ ( EMULSION )สีน้ำมัน ( ENAMEL )
• ใช้ทาบนพื้นผิวปูน• ใช้ทาบนพื้นผิวไม้ ,โลหะ
• เนื้อสีด้าน กึ่งเงา• เนื้อสีเงามาก
• แห็งเร็ว ( 20 นาที – 1 ชั่วโมง )• แห้งช้า ( อย่างน้อย 6 ชั่วโมง )
• กลิ่นไม่แรง• กลิ่นแรง
• ตัวทำละลายเป็นน้ำ• ตัวทำละลายเป็นน้ำมัน หรือ ทินเนอร์
• ราคาถูก• ราคาแพงกว่า
 

นอกจากนี้สีน้ำและสีน้ำมันยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ สีภายใน และสีภายนอก โดยสีที่ใช้ทาภายนอกมีความทนทานต่อทุกสภาพดินฟ้าอากาศ ขณะที่สีภายในจะใช้ภายในอาคารเท่านั้น แต่สีทาภายในจะให้ความเนียน สวย และทำความสะอาดได้ง่าย ดังนั้นจึงควรเลือกใช้สีให้เหมาะกับสถานที่ที่จะใช้งาน การทาสีทับหน้าควรทาอย่างน้อย 2 เที่ยว โดยทิ้งระยะให้สีที่ทาเที่ยวแรกแห้งสนิท แล้วจึงทาทับอีกครั้ง
หมายเหตุ :
 – การเลือกใช้สีรองพื้นและสีทับหน้านั้น ควรเลือกใช้สีให้ถูกประเภทของงาน
 – ควรเลือกใช้สีจากผู้ผลิตเดียวกันทั้งระบบ 

การเตรียมพื้นผิวก่อนทาสี
เพื่อให้สียึดเกาะกับพื้นผิวปูน ไม้ โลหะได้ดี อีกทั้งยังสวยงามและคงทน ก่อนทาสีทุกครั้งต้องทำความสะอาดพื้นผิวให้เรียบร้อยเสียก่อน โดยขจัดฝุ่น คราบไขมัน สนิม รา ตะไคร่น้ำออกให้หมด พื้นผิวที่จะทาสีต้องแห้งสนิทและอยู่ในสภาพเรียบร้อย สำหรับผิวยิปซั่ม ต้องทำการฉาบเรียบและทิ้งไว้ให้แห้ง ขัดด้วยกระดาษทราย หลังจากนั้นปัดฝุ่นออกทั้งนี้ในส่วนที่มีงานระบบเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น โคมไฟ ปลั๊ก สวิตซ์ เป็นต้น จะต้องติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและสามารถใช้งานได้ดี หลังจากนั้นจึงทาสีได้ สำหรับผิวไม้ต้องผ่านการอบแห้ง หรือตากจนแห้งสนิท หากผิวมีรอยชำรุด ต้องซ่อมก่อนโดยใช้สีโป๊ว หรือดินสอพองทิ้งไว้ให้แห้งสนิท จากนั้นขัดด้วยกระดาษทรายให้เรียบ ปัดฝุ่นออกให้หมด แล้วจึงทาสีต่อไป

การทาสีรองพื้น
สีรองพื้นคือสีที่ใช้ทาบนผิวชนิดต่างๆ ก่อนทาสีทับหน้า ทำหน้าที่เสริมให้สีทับหน้ายึดเกาะกับพื้นผิวได้ดี และป้องกันการเกิดปฏิกิริยาระหว่างพื้นผิวกับสีทับหน้า ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายได้พื้นผิวปูน : สีรองพื้นจะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ความเป็นด่างของผนังปูน ทำปฏิกิริยากับสีทับหน้า สีจึงสวย ทนทาน ไม่หลุดล่อนง่าย
พื้นผิวไม้ : สีรองพื้นช่วยป้องกันยางไม้หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ที่เคยทาไว้ ไม่ให้ซึมออกมาผสมกับสีทับหน้า สีจึงไม่เป็นรอยด่าง
พื้นผิวเหล็ก : สีรองพื้นช่วยป้องกันการเกิดสนิม และเสริมการยึดเกาะของสีทับหน้า สีจึงสวยทนนาน

ทาสีบ้าน อย่างไรให้ติดทนนาน
ขั้นแรก : การเตรียมพื้นผิว
 ขั้นตอนนี้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะการเตรียมพื้นผิวอย่างถูกต้อง จะทำให้สีที่ทาลงไปมีความสวยงามกลมกลืนเรียบเนียนเป็นเนื้อเดียวกันก่อนทาสีทุกครั้งต้องทำความสะอาดคราบฝุ่นคราบไขมันบนพื้นผิวก่อนด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำสบู่แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง หากมีราหรือตะไคร่น้ำ ต้องกำจัดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หากเป็นผนังปูนเก่าและสีเดิมอยู่ในสภาพหลุดล่อนชำรุด ต้องขัดล้างสีเก่าออกก่อนให้หมด เมื่อเตรียมพื้นผิวเสร็จแล้ว ต้องทิ้งให้แห้งสนิทก่อนที่จะทาสีใหม่ และหากมีรอยแตกร้าว ควรซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อน
ขั้นที่สอง : การทาสีรองพื้น
 สีรองพื้น คือ สีที่ใช้ทาบนพื้นผิวก่อนทาสีจริงทับหน้า เพื่อช่วยให้สีทับหน้ายึดเกาะกับพื้นผิวได้ดีและป้องกันความเสียหาย จากปฏิกิริยาเคมีระหว่างสีทับหน้ากับพื้นผิว
 พื้นผิวปูน : หากเป็นปูนใหม่ รองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนใหม่ เพื่อปรับสภาพพื้นผิวคอนกรีตใหม่ และชิ้นงานต่าง ๆ ที่มีค่าความเป็นด่างสูง ช่วยเพิ่มการกลบพื้นผิวดีเยี่ยมหากเป็นปูนเก่า รองพื้นด้วยสีรองพื้นปูนเก่า เพื่อเคลือบผนังปูนที่สีเก่าเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผงหรือหลุดลอกให้กลับมีสภาพดี ช่วยเสริมการยึดเกาะกับสีทับหน้าได้อย่างมีคุณภาพและคงทน
 พื้นผิวไม้ : รองพื้นด้วยสีรองพื้นไม้ เพื่อป้องกันยางไม้หรือน้ำยารักษาเนื้อไม้ไม่ให้ซึมออกมาผสมกับสีทับหน้า ทั้งยังช่วยปรับสภาพพื้นผิวไม้ให้เรียบเนียน เพิ่มความสวยเงางามของสีทับหน้า
 พื้นผิวเหล็ก : สีรองพื้นช่วยป้องกันการเกิดสนิม และช่วยเสริมการยึดเกาะของสีทับหน้า
ขั้นสุดท้าย : การทาสีทับหน้า
 สีทับหน้าหรือสีชั้นนอก มีเฉดสีต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย ควรทาทับหน้า 2-3 ครั้ง โดยทิ้งระยะให้สีที่ทาครั้งแรกแห้งสนิทเสียก่อนจึงทาทับครั้งต่อไป

สร้างวอลเปเปอร์ด้วยการทาสี
การสร้างวอลเปเปอร์ด้วยการทาสีนั้นมีคนคิดริเริ่มมานานพอสมควร แต่ด้วยเทคโนโลยีของเนื้อสีก็ยังไม่สามารถทดแทน ความรู้สึกที่ได้จากวอลเปเปอร์อยู่ดี แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีเนื้อสีได้พัฒนาไปมากกว่าเดิมหลายเท่า จนเกิดสีเพื่องานเดคคอร์โดยตรง เนื้อสีอะคลีลิกแบบใหม่ที่ให้สีในลักษณะกึ่งโปร่งแสง มีความสามารถในการยึดเกาะพื้นผิว และป้องกันการเกิดเชื้อราและแบคทีเรีย และยังสามารถใส่เทคนิคการทาสีใหม่ๆ เข้าไปจนเกิดลวดลายเหมือนกับวอลเปเปอร์ที่ให้ผิวสัมผัสทางสายตาและความรู้สึกไม่แพ้วอลเปเปอร์อีกต่อไปอย่างไรก็ตาม การทาสีนั้นยังคงต้องใช้พื้นฐานการทาสีทั่วไปเช่นเดิม คือ ทำความสะอาดพื้นผิว ทาสีรองพื้น ทาสีพื้นผิว ทาสีสร้างลาย และสีเคลือบเงา แต่ขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไปก็คือ เรื่องของแปรงทาสี และขั้นตอนการทาสีสร้างลาย ที่จะใช้อุปกรณ์ช่วยเสริมที่หาได้ง่ายทำเองก็ได้ รวมทั้งการออกแบบอุปกรณ์ที่แตกต่างกันออกไป ก็จะให้พื้นผิวลวดลายที่แตกต่างกัน ออกไปด้วย

การสร้างลวดลายด้วยสี
 ธีรพันธุ์ สิงหพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสี จากบริษัท ทีโอเอเพนท์ ประเทศไทย ให้คำแนะนำการทาสีเพื่อสร้างลวดลายว่า ก่อนอื่นการเลือกสีสร้างลวดลายที่นำมาใช้สร้างลายผนังนั้น ควรเลือกสีน้ำทาภายในที่ใช้สำหรับการสร้างลวดลายโดยเฉพาะ และควรใช้สีน้ำอะครีลิกแท้ 100% ที่มีลักษณะกึ่งโปร่งแสงเพื่อการสร้างลวดลายที่โดดเด่นสวยงาม
1.ก่อนที่เราจะเริ่มสร้างลวดลายให้กับผนังห้อง อย่าลืมว่าเราควรจะต้องเช็ดทำความสะอาดผิวผนัง และหากมีรอยแตกร้าวก็ควรอุดโป๊วรอยต่างๆ ให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการทาสีและสร้างลวดลาย ซึ่งจะทำให้ผนังเนียนเรียบและไม่สะดุดจินตนาการในการสร้างลาย
2.จากนั้นทาสีพื้นเพื่อเป็นการรองพื้นผิวผนัง ขั้นตอนนี้เลือกสีได้ตามใจชอบตามเฉดสีที่ตนเองต้องการ และควรทิ้งไว้ให้สีแห้งประมาณ 4 ชั่วโมง ก่อนการสร้างลาย
3.เสร็จจากสีรองพื้นแห้งแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นขั้นตอนที่ทุกคนรอคอย นั่นคือการสร้างลวดลายตามจินตนาการ โดยการทาสีที่ต้องการสร้างลายทับสีรองพื้น ต่อไปก็เริ่มสร้างลายได้ตามใจชอบ โดยวิธีการสร้างลายนั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ตามแต่ละอุปกรณ์ที่นำมาใช้
– สร้างลวดลายด้วยวิธีการใช้เกรียงปาดสี
 การใช้เกรียงสร้างลายปาดสีลงแนวตั้งภายใน 10 นาที เพื่อสร้างลวดลาย จากนั้นทิ้งไว้ให้แห้ง 12 ชั่วโมง ก่อนทาสีเคลือบเงา เราก็จะได้ลายผนังที่เป็นลายเส้น ลักษณะเป็นเส้นตรงเรียงกันหลายๆ เส้น ที่ให้ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย
– การสร้างลวดลายด้วยการใช้ลูกกลิ้งสร้างลาย
 การใช้ลูกกลิ้งสร้างลาย กลิ้งลงเป็นแนวตั้ง แล้วกลิ้งเฉียง 45 องศา ซ้ายและขวาเพื่อสร้างลวดลาย ทิ้งไว้ให้แห้ง 12 ชั่วโมง ก่อนทาสีเคลือบเงา ก็จะได้ลวดลายที่ดูทันสมัยน่าค้นหา และมีความพิเศษเฉพาะตัว (จุดสังเกตสำหรับลูกกลิ้งสร้างลายก็คือ การประยุกต์นำเอาลูกกลิ้งทาสีที่มีขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปนำมาติดแผ่นผ้าชามัวส์ชิ้นเล็กๆ ด้วยสกรูขันติดเข้าไป ซึ่งผ้าชามัวส์นี้มีขายอยู่ตามแผนกอุปกรณ์ดูแลรถยนต์ และไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าชามัวส์แท้ที่มีราคาแพงก็ได้)
– การสร้างลวดลายด้วยการใช้แปรงสร้างลาย
 ใช้แปรงสร้างลายโดยใช้แปรงปัดซ้ายปัดขวาเพื่อสร้างลวดลาย ทิ้งไว้ให้แห้ง 12 ชั่วโมง ก่อนทาสีเคลือบเงา ก็จะได้ลวดลายเก๋ไก๋แปลกตา สิ่งที่ควรจำหลังจากการทาสีก็คือ เมื่อลงสีสร้างลายไปแล้ว เราจะมีเวลาก่อนสีเริ่มแห้งตัวปะมาณ 10 นาที ในช่วงนี้เราสามารถแก้งานได้หากออกมาไม่ได้อย่างที่ใจคิด คำแนะนำเพิ่มเติมจาก ธีรพันธุ์ ก็คือ หากต้องทาในพื้นที่มากควรมีผู้ช่วยอีกสักคน เพื่อช่วยให้การทาสีเป็นไปอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยมากขึ้น โดยคนหนึ่งทาสีสร้างลาย อีกคนใช้แปรงทาสร้างลายตามกันไป
การสร้างลวดลายด้วยวิธีการใช้แปรงประเภทต่างๆ ตามที่ได้แนะนำแล้ว เรายังสามารถสร้างลายอื่นๆ ที่สวยงามได้อีก เช่น ลายผ้าไหม ลายดอกไม้ หัวใจ ตุ๊กตา โดยการใช้แม่พิมพ์รูปต่างๆ มาแต้มสีที่ต้องการ แล้วกดพิมพ์บนพื้นผนัง หรือจะเพนต์ลายเก๋ๆ ที่ไม่เหมือนใคร ก็จะได้ลวดลายตามจินตนาการที่ไม่มีขีดจำกัด
หลังจากทาเสร็จแล้วให้ทาสีเคลือบเงาทับเพื่อความเงางามคงทนและทำความสะอาดได้ง่าย และที่สำคัญที่สุดก็คือ หากเราเบื่อลายเดิมเราก็สามารถทาสีทับใหม่ได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องลอกสีเดิมออกอีกด้วย

การสร้างลายผนังด้วยสีทาภายในแทนการใช้วอลเปเปอร์นั้น นอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินให้กับตัวคุณเองแล้ว ยังสามารถใช้เป็นกิจกรรมพิเศษเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ความสนุกสนาน และความสามัคคีให้ครอบครัว ที่เด็กๆ ก็สามารถสร้างลายได้ง่ายๆ แถมยังเป็นความภูมิใจส่วนตัวที่ไม่ซ้ำใครแทนผนังเรียบๆ ที่ตอบสนองทุกอารมณ์ของคุณอีกด้วย

ผนังบ้านมีความชื้นมากทาสีลอกล่อน?
ต้องหาสาเหตุของความชื้นที่เกิดขึ้นให้ได้ก่อนแล้วเราจะได้แก้ปัญหาให้จบได้อย่างแน่นอน สาเหตุของความชื้นที่พบได้ก็มีอยู่ไม่กี่สาเหตุเช่น.. เกิดจากผนังที่ฉาบปูนเอาไว้นั้น มีน้ำซึมมาที่ผนังได้ตลอดเวลาทำให้ ผนังตรงส่วนนั้นเกิดความชื้นและไม่แห้ง เราก็ต้องไปหาที่มาของน้ำที่มาทำให้ผนังเกิดความชื้นว่ามาจากที่ใหน เช่นผนังบางส่วนช่างประปา ได้ฝังท่อประปาเอาไว้ในผนังและ เกิดรั่วขึ้นมาทำให้มีน้ำไหลซึมไปได้ตลอดเวลาถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้อง ให้ช่างประปามาตรวจสอบที่มาของน้ำที่ซึมอยู่นั้น หรืออาจจะมีสาเหตุมาจาก น้ำที่ไหลลงมาจากห้องน้ำบนชั้นที่สองและได้ซึมลงมาที่ผนังชั้นล่างได้ อย่างนี้ก็อาจเป็นสาเหตุของความชื้นที่เกิดขึ้นได้เช่นกันต่อมาก็อาจเป็นความชื้นที่เกิดขึ้นจากการผสมปูนฉาบเพื่อฉาบปูนของช่างปูนที่ใช้ปูนผสมผิดสูตรทำให้เกิดสาเหตุที่ช่างเรียกว่า”ปูนเค็มมาก”ก็เป็นได้เช่นกัน เพราะการที่มีปูนเค็มมากๆนั้น ก็ทำให้ผนังปูนตรงส่วนนั้นไม่สามารถทาสีแล้วทำให้สีติดได้ไม่นานสีก็อาจหลุดล่อนออกมาได้ตลอดเวลาและบางที่เราจะเห็นผนังตรงที่เกิดปูนเค็มนั้นหลุดล่อนออกมาเป็นผงๆได้เลยเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนี้การแก้ก็ต้องใช้การสกัดผิวฉาบปูนทั้งผนังนั้นหรือลอกปูนเก่านั้นออกให้หมดแล้วฉาบปูนใหม่เพื่อเปลี่ยนปูนฉาบใหม่ทั้งหมดก็สามารถแก้ได้เช่นกัน สรุป..ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เราต้องให้”ผู้ชำนาญการท่างช่าง”มาตรวจดูหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริงแล้วแก้ปัญหาให้ตรงจุดก็จะสามารถแก้ปัญหาได้แน่นอน อย่าเพิ่งท้อนะครับ ปัญหาทุกอย่างแก้ได้เสมอ ถ้าได้ผู้ที่รู้จริงมาหาสาเหตุของปัญหาและแก้ปัญหาให้ตรงจุดครับ


ที่มา: http://www.nucifer.com/2012/03/10/colo/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11 มิถุนายน 2017, 14:11:30 โดย เอก »