มาถึงเรื่องตัวบ้านบ้างละกันครับ
“รางน้ำฝน” ก็ เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราชอบมาคิดเพิ่มกันตอนหลัง โดยมองข้ามไป ทั้งๆที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยให้บ้านของท่านหลีกเลี่ยงปัญหาหลักๆ ได้หลายๆอย่าง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนบ้านครับ เพราะ
หลายครั้งเมื่อเราสร้างบ้านเสร็จแล้ว ตัวหลังคามันอยู่ในเขตที่ดินเราครับ แต่น้ำฝนที่ลงจากหลังคาเนี่ย ดันไปตกลงในที่เพื่อนบ้าน . . “มันผิดกฏหมายครับ” อยู่ในกฏกระทรวง ฉบับที่ 44 (พรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522)“ข้อ 2 อาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงต้องมีการระบายน้ำฝนออกจากอาคารที่เหมาะสมและ เพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่นหรือเกิดน้ำไหลนองไป ยังที่ดินอื่นที่มีเขตติดต่อกับเขตที่ดินที่เป็นที่ตั้งของอาคารนั้น” แล้วถ้าน้ำฝนที่เทลงไปที่ดินบ้านเค้าก่อให้เกิดความเสียหาย อาจจะโดนฟ้องเรื่องแพ่งด้วยก็จะเป็น ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2 แดนแห่งกรรมสิทธิ์ และการใช้กรรมสิทธิ์
“มาตรา 1341 ท่านมิให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำหลังคาหรือการปลูก สร้างอย่างอื่น ซึ่งทำให้น้ำฝนตกลงยังทรัพย์สินซึ่งอยู่ติดต่อกัน” ตามนี้ครับ น้ำฝนที่หล่นลงที่ดินของเพื่อนบ้านมันจึงอาจเป็นเหตุให้อาจจะต้องมีปัญหากระทบกระทั่งกันได้หากท่านไม่ติดรางน้ำฝน
ถึงแม้ว่าจะแก้ตัวหรือแย้งกลับมาว่า
“ทีเพื่อนบ้านเค้ายังสร้างบ้านติดชิดอยู่บนรั้วได้ ทำไมเราจะไม่ติดรางน้ำฝนไม่ได้บ้างล่ะ?” ในส่วนนี้ผมขอเรียนให้ทราบว่า เพื่อนบ้านคนนั้นก็ไปจะผิด กฏกระทรวง ฉบับที่ 55 (พรบ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522)
“ข้อ 50” เรื่องระยะย่นอาคารที่น้อยกว่า 50 ซม. จะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านที่ก่อ สร้างผิด นั่นก็คือผิดกฏหมายทั้งคู่นั่นเองครับ!! และส่วนใหญ่หากมีการร้องเรียนเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เขตมักจะเรียกไปไกล่เกลี่ยกันมากกว่า เพราะหากขึ้นศาลแล้วละก็
“เจ็บทั้งคู่ครับ” นอกจากเสียทรัพย์แล้ว ยังเสียเพื่อนบ้านอีกครับ ไม่คุ้มเอาเสียเลย ฉะนั้นแล้วเราทำของเราให้ถูกต้องจะดีกว่าครับ มีเพื่อนบ้านที่ดี ดีกว่ามีศัตรูข้างบ้านครับ
ปัญหาหลักที่พบเห็นได้บ่อยอีกอย่างก็คือ ฝนที่เทลงมาจากหลังคาใหญ่ชั้นบนสุด ลงมาโดนหลังคาชั้น สอง หรือชั้นล่าง (กรณีบ้านสามชั้น) ก็อาจเป็นเหตุให้
ฝ้า เพดานของหลังคานั้นมีคราบน้ำได้ครับ!! เอ๊ะ ทำไมถึงมีคราบน้ำ?? . . ก็เพราะว่าการที่น้ำฝนเทลงมาจากหลังคาชั้นบนสุด จะมีปริมาณน้ำและความแรงค่อนข้างมาก เนื่องจากพื้นที่หลังคารับน้ำฝนของหลังคาบนสุดมีขนาดใหญ่และอยู่ค่อนข้างสูง
ทำ ให้น้ำฝนที่เทลงบนหลังคาชั้นสอง หรือชั้นล่าง อาจเกิดการกระเด็นย้อนกลับเข้าไปใต้กระเบื้องหลังคา แล้วหยดแหมะลงบนฝ้าเพดานได้นั่นเอง นานๆเข้าก็เป็นคราบน้ำตามมาครับ และหลายครั้งที่น้ำฝนที่เทจากหลังคา ชะล้างหลังคาแล้วนำฝุ่นสกปรก มูลนก ลงบนสนามหญ้า สระน้ำ บ่อปลาเสียอีก ทำให้ต้องเสียค่าบำรุงรักษาสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในแนวกระเบื้องหลังคาเพิ่ม ขึ้นไปอีก วิธีแก้ไขที่ง่ายที่สุดก็คือ
“การติดรางน้ำฝน” นั่นเองครับ
ถ้าพูดถึงการติดรางน้ำฝน ก็ควรเริ่มวางแผนตั้งแต่ออกแบบบ้าน หรือถ้าปัจจุบันบ้านของเรายังไม่ได้ติดรางน้ำฝน เราก็สามารถมาติดเพิ่มในภายหลังได้เช่นกัน แต่อาจจะยุ่งยากกว่าในบางกรณี
การออกแบบรางน้ำฝน หรือทำรางน้ำฝนสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ช่วงก่อสร้างบ้าน ให้ทางผู้ออกแบบออกแบบให้รางน้ำฝนและท่อน้ำฝนอยู่ในช่องปิด เสาหลอก เพื่อซ่อนท่อน้ำฝน หรือรางน้ำฝน เพื่อความสวยงาม (แต่ดูแลรักษายาก) หรือหากจะติดตั้งรางน้ำฝนหลังจากหลังคาบ้านเสร็จแล้วก็สามารถทำได้เช่นกัน
สนนราคารางน้ำฝนก็ขึ้นกับชนิดและขนาดรางครับ
1. รางน้ำฝนสังกะสี ตกประมาณ 200-500 บาท/เมตร มีความหนาหลายเบอร์ เบอร์ 24 หนา 0.50 มม. / เบอร์ 26 หนา 0.45 มม. / เบอร์ 28 หนา 0.35 มม. และเบอร์ 30 คือ หนา 0.30 มม. ถ้าถามว่าความหนามันมีผลอย่างไรนั้น ก็ตอบได้คำเดียวว่ามีผลอย่างมาก!! ในเรื่องของความทนทานต่อสภาวะแวดล้อม การกัดกร่อน และราคา!! เชื่อมด้วยตะกั่ว มีโอกาสเป็นสนิมได้ง่ายกว่ารางน้ำฝนสเตนเลส และมักจะผุบริเวณรอยต่อ รอยเชื่อมครับ แต่มันก็ทนทานเหมือนกันนะครับ อย่างขำๆก็ 5 ปีแน่นอน
(แนะนำว่าถ้าจะใช้ ให้เลือกเบอร์ 24 หนา 0.50 มม. ดีกว่าครับ) หากจะวัดความหนาก็คงต้องใช้เวอร์เนียร์ไปวัดความหนาของรางน้ำฝนสังกะสีครับ (ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะวัดนะครับ) ส่วนพวกโรงงานเค้าจะใช้ความหนา 1.0 มม. ขึ้นไป เชื่อมด้วยไฟฟ้า . . ราคาประมาณ 2,000 บาท/เมตร เท่านั้นเองครับ L (คงไม่เหมาะกับบ้านหรอกครับ แหะๆ)
2. รางน้ำฝนสเตนเลส ราคาจะ สูงกว่าสังกะสีเล็กน้อย อยู่ที่ 500-700 บาท/เมตร (สเตนเลสเกรด 201-202 ทนทานต่อการกัดกร่อนได้เล็กน้อย ย้ำว่า . . เล็กน้อย) และ 700-1,000 บาท/เมตร (สเตนเลสเกรด 304 มีฤทธิ์ทนต่อกรด ด่าง สภาวะอากาศบ้านเรา เหมาะสมในการใช้งานมากที่สุด ยกเว้นบริเวณชายฝั่งทะเล) ราคาขึ้นกับความกว้างราง ความหนา ลักษณะการติดตั้งของรางน้ำฝนด้วย
(แนะนำว่าความกว้างราง 5-6” และความหนา 0.40 มม. (#27) จะเหมาะสมที่สุด เมื่อเทียบกับความคุ้มค่า ส่วน 0.55 มม. (#24) หนาก็จริง แต่รอยเชื่อมอาจจะแตกได้ง่ายกว่าครับ) วัสดุเชื่อมมีอยู่ 2 แบบครับ เชื่อมด้วยตะกั่ว หรือเชื่อมอาร์กอน หากเชื่อมด้วยอาร์กอนตกเมตรละ 1,400-1,800 ครับ (แล้วแต่ปริมาณงานและความยากง่ายในการติดตั้ง) ส่วนใหญ่จะเป็นงานรางน้ำฝนโรงงานซะมากกว่า (ใช้ #22 หนา 0.7 มม. จึงจะเชื่อมอาร์กอนได้) หากจะมองแบบไวๆว่า เกรดสเตนเลส 304 กับ 201 ต่างกันอย่างไร เกรด 304 ให้นึกถึงช้อนที่เราทานข้าวในบ้านครับ มันจะเงาๆวาวๆ นั่นคือ 304 (เกรดที่ปกติใช้กัน) และเกรด 201 นึกถึงตอนเราไปร้านข้าวแกงที่ดูช้อนแล้วทำไมมันสีขุ่นๆ ด้านๆ นั่นแหละครับ 201
โดยส่วนใหญ่ตัวรางสเตนเลสไม่ค่อยจะมีปัญหาครับ ที่เป็นปัญหาจริงๆคือ สนิมที่บริเวณรอยต่อที่บัดกรีด้วยตะกั่ว เพราะว่าการเชื่อมด้วยตะกั่วจะต้องใช้กรดเกลือมากัดผิวรางสเตนเลสให้หยาบ จากนั้นจึงละลายตะกั่วเพื่อเชื่อมตัวรางอีกที แต่หากไม่มีการล้างกรดเกลือส่วนเกิน กรดเกลือเหล่านี้จะไปกัดกร่อนรอยเชื่อมให้กลายเป็นสนิม ซึ่งวิธีการแก้ไขก็คือ ล้างด้วยน้ำสบู่ หรือล้างด้วยน้ำเปล่ามากๆ หลังจากเชื่อมด้วยตะกั่วแล้วนั่นเองครับ (ปล่อยทิ้งไว้จะเป็นผลเสีย และสร้างความเสียหายมากกว่าการล้างทิ้งในทันทีครับ) การเช็ดกรดเกลือออกจะช่วยได้น้อย และมันจะเป็นผลเสียให้กับรางน้ำฝนบริเวณอื่นมากกว่าที่จะเป็นผลดีครับ ฉะนั้นเลือกวิธีล้างด้วยน้ำสบู่ดีที่สุดครับ น้ำสบู่(ด่าง)+กรดเกลือ(กรด) = กลาง
อีกอย่างที่ควรระมัดระวังคือ ตัวหิ้วรับรางน้ำฝนครับ มักจะใช้เป็นเหล็กกัน . . ซึ่งลองคิดตามนะครับ รางน้ำฝนเป็นสเตนเลส เชื่อมด้วยตะกั่ว ล้างน้ำสบู่แล้ว แต่ดันลืมมมม ใช้ตัวหิ้วรับรางน้ำฝนเป็นเหล็ก . . เอ่อ ทำไมไม่ใช้ตัวหิ้วเป็นสเตนเลสเหมือนกันละครับ อันนี้เป็นจุดตายที่บางทีผู้รับเหมาอาจจะเผลอลืมไปครับ (เผลอลืมครับ ไม่ใช่จงใจ คิดในแง่ดีไว้ก่อนครับ แหะๆ)
หากจะทาสีสำหรับงานสเตนเลส จะต้องรองพื้นด้วยเรซิน ตัวสีรองพื้นที่ว่ามันจะเป็นกรดเหมือนกันครับ กัดผิวให้หยาบแล้วจึงพ่นสีหรือทาทับสีอีกครั้ง แต่ผิวของสเตนเลสจะรักษาสภาพความทนทานต่อการกัดกร่อนได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อ ไม่มีอะไรไปปิดผิวมันครับ ตัวสเตนเลสมีความสามารถสร้างฟิลม์บางๆ ขึ้นมาป้องกันการกัดกร่อนโดยทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ผมจึงไม่แนะนำให้ทาสีเท่าไหร่นัก ยกเว้นต้องการจริงๆ เพราะรางน้ำฝนสเตนสเลสมันดูแล้วไม่มีความสวยงามเลย ความถึกทนทานเอาไป 10 ปีเลยครับ (ถ้ามันไม่รั่วตรงรอยต่อซะก่อนนะครับ)
ฉะนั้นแล้วตัวรางน้ำฝนสเตนเลสนี่ถ้าเอาให้ถึก ทนทาน ก็ควรจะหาช่างติดรางน้ำฝนที่เข้าใจสเตนเลสให้มากที่สุดครับถามช่างง่ายๆว่า “ติดตั้งรางน้ำฝนสเตนเลสอย่างไรไม่ให้เป็นสนิม” ถ้าช่างยังไม่รู้ หรือตอบแบบงูๆปลาๆ หรือพูดว่า “เชื่อผม มันไม่เป็นสนิมหรอก มันไม่รั่วหรอก” ก็เปลี่ยนเจ้าได้เลยครับ 3. รางน้ำฝนเหล็กเคลือบอลูซิงค์/เหล็กชุบกัลวาไนซ์/อลูมิเนียมชุบกัลวาไนซ์ เป็น เหล็กแผ่นเคลือบผิวด้วยอลูซิงค์ (aluminum+zinc) หรือ กัลวาไนซ์ (zinc อย่างเดียว) แล้วมาพ่นสีทับเพิ่ม ราคาประมาณ 900-1,400 บาท/เมตร มีหลายยี่ห้อที่นิยมในตลาด ป้องกันการกัดกร่อน และการเกิดสนิมได้ดี
(เพื่อ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้านำเหล็กชุบเหล่านี้มาวางเทียบแบบตากแดด ตากฝน กับสเตนเลสแบบชัดๆเลย ตัวสเตนเลสจะทนกว่าครับ เพราะโลหะคนละชนิดกัน แต่ที่มักจะมีปัญหาคือรอยต่อต่างหากครับ) โดยรอยต่อนั้นใช้ วิธีการรัด clamp แล้วมีการซีลยาง ผมเชื่อว่ามีความทนทานมากกว่ารางน้ำฝนที่เชื่อมด้วยตะกั่ว (เพราะควบคุมคุณภาพได้ง่ายกว่า) แต่ราคาอยู่ในเกณฑ์ที่จะเรียกว่าพอประมาณเลยทีเดียวครับ และปัจจุบันมีการออกแบบหน้าตาน่าใช้งาน ประดับบ้านเป็นอย่างยิ่ง เป็นคู่เปรียบมวยไวนิลได้สบายๆเลยครับ พูดง่ายๆก็คือ “สวยแข่งไวนิล ทนทานแข่งสเตนเลส”
4. รางน้ำฝนไวนิล (uPVC) ราคาประมาณ 500-1,000 บาท/เมตร (แล้วแต่เกรดพลาสติก/ยี่ห้อ uPVC ที่นำมาผลิต + กาวที่นำมาเชื่อมต่อ+ ทักษะของช่างที่ติดตั้ง) ยี่ห้อดังในตลาดใช้ซิลิโคนในการเชื่อมต่อรางน้ำฝน และบางยี่ห้อสามารถใช้น้ำยาประสานท่อ PVC ได้ด้วย ซึ่งสะดวกต่อการติดตั้งและการซ่อมแซม
แต่ทั้งนี้ปัญหาการรั่วซึมนั้นเกิดจากการติดตั้งที่ไม่มาตรฐาน มากกว่าจะเกิดจากผลิตภัณฑ์ (แต่ในบางกรณีก็เกิดจากตัวผลิตภัณฑ์ก็มีครับ คงต้องดูเป็นรายๆไป)
เนื่อง จากแบรนด์ดังที่ขายตัววัสดุนั้น ระบุให้ใช้ซิลิโคนเฉพาะงานในการเชื่อมต่อ และมีผู้รับติดตั้งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจำนวนหนึ่งไม่ได้ใช้ซิลิโคนตามที่แบ รนด์ดังกล่าวระบุไว้ หรือบางครั้งไม่ใช้ซิลิโคนเลยก็มี จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วซึมได้ เนื้องานรางน้ำฝนไวนิลจะดูเรียบร้อย มีดีไซน์ สวยงามกว่าเพื่อน เข้ากับแบบบ้านได้หลากหลาย และเชื่อมด้วยกาว/ซิลิโคน เพียงแต่ด้วยความร้อน UV และแสงแดดบ้านเรา อาจจะส่งผลกระทบกับรางน้ำฝนชนิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการติดตั้งไม่เป็นไปตามมาตรฐานผู้ผลิต จะเป็นไปได้ยากมากที่จะขอเคลมสินค้า และปัญหาสีเพี้ยนในเนื้อวัสดุอาจจะมีบ้างถึงแม้จะมีการใส่สีลงไปผสมในเนื้อ ไวนิลเพื่อลดปัญหาสีเพี้ยนแล้วก็ตาม หรืออาจเกิดอาการบิด โก่ง งอ หลังจากใช้งานไปได้ 3-4 ปี ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดตั้งที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่ผู้ผลิตได้แนะนำ ไว้ ผมเองเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากติดตั้งได้ตามมาตรฐานที่กำหนดแล้ว อายุการใช้งานรางน้ำฝนก็เป็นไปได้ตามที่ผู้ผลิตได้รับประกันไว้ 10 ปีครับ
5. รางน้ำฝนไฟเบอร์กลาส ราคาประมาณ 900-1,000 บาท/เมตร งานจะดูเรียบร้อยเช่นเดียวกับรางน้ำฝนไวนิล เชื่อมด้วยใยแก้ว และเนื่องจากไฟเบอร์กลาสเป็นใยแก้วครับ มันเป็นพิษต่อปอดและสุขภาพ ถ้าเราไม่ได้ไปสัมผัสมัน ก็คงจะไม่เป็นไรครับ
(เพราะ ช่างทำรางน้ำฝนเค้าเป็นคนติดตั้งครับ แหะๆ แต่ตอนที่เค้ากำลังตัดรางน้ำฝน แล้วมันมีฝุ่นใยแก้วเนี่ย แนะนำว่าให้อยู่ห่างๆหาผ้าชุบน้ำปิดจมูกครับ และปิดบ้านให้มิดชิดเรียบร้อยจะดีกว่าครับ ตอนที่รางมาเป็นชิ้นๆไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่ตอนที่มันถูกตัด ต่อ ประกอบหน้างานเนี่ย ตอนนั้นแหละครับที่ต้องระวังเป็นพิเศษ) ซึ่งตอนติดก็ต้องระวัง ใช้ไปสักพักก็ต้องระวัง หากสีร่อน ผุ กรอบ แตก เมื่อไหร่ก็ควรจะรีบเปลี่ยนโดนทันที เพราะฝุ่นที่เกิดจากการกรอบแตกนั้น มีผลร้ายต่อร่างกายเช่นกันครับ
6. รางน้ำฝนคอนกรีต ราคาประมาณ 1,500-2,000 บาท/เมตร อันนี้เหมาะสำหรับกรณีที่ออกแบบมาก่อนครับ หากมาทำเพิ่มภายหลังจากบ้านเสร็จแล้วดูจะไม่เหมาะนัก เนื่องจากจำเป็นต้องหล่อเป็น คสล. เข้ากันคานรับหลังคา เรื่องความเรียบร้อยสวยงาม และความทนทานต้องยกให้รางน้ำฝนประเภทนี้ครับ
(ถาวรมาก แต่หากทำกันซึมไม่ดี งานเหล็กไม่เรียบร้อย รางน้ำฝนประเภทนี้จะแก้ไขได้ยากสุดๆเลยครับ)
การบำรุงรักษารางน้ำฝนทุกประเภทนั้นจะง่ายขึ้น หากเรามีการออกแบบเผื่อในส่วนของการทำความสะอาดรางน้ำฝน ในกรณีที่ท่ออุดตัน อันเกิดจากขยะหรือกองใบไม้ครับ ส่วนใหญ่ที่ผมเห็นตามบ้านในหมู่บ้านก็มีทุกข้อแหละครับ แล้วแต่สนนราคาที่สามารถซื้อใช้สอยได้ ส่วนข้อ 1 มักจะเป็นบ้านอายุเกิน 10 ปีซะส่วนใหญ่ครับ และข้อ 6 เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง จึงอาจจะเหมาะสำหรับบ้านที่ไม่ต้องการโชว์ให้เห็นรางน้ำฝนประเภทติดตั้งภาย หลังครับ
ขนาดของรางน้ำฝนนั้น จะมีไซส์ 4”, 5”, 6” บางเจ้า บางยี่ห้อก็มีรางขนาด 8” ซึ่งทั้งนี้แล้วแต่ความยาวรางน้ำฝนกับพื้นที่รับน้ำฝนครับ ซึ่งผมแนะนำว่าถ้าพื้นที่หลังคาโดยทั่วไป ใช้รางน้ำฝนขนาด 5-6” ก็จะกำลังดีครับ ระบายน้ำฝนกำลังคล่อง (4” บางทีมันระบายไม่ทันครับ ล้นซะมากกว่า) ส่วนท่อต่อระบายน้ำฝนมีขนาด 3”, 4”, 5” ครับ อันที่จริงเราสามารถใช้เป็นท่อ PVC คลาส 5 หรือ 8.5 มาต่อเป็นท่อระบายน้ำฝนแทนท่อสเตนเลสก็ได้ครับ แล้วทาสีเดียวกับผนังภายนอก ก็จะช่วยในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่าย และการซ่อมบำรุงที่ง่ายขึ้น เนื่องจากสามารถเปลี่ยนวัสดุได้ง่าย แต่ควรวางแผนหาจุดลงระบายน้ำฝนให้อยู่ข้างบ้านแทนครับ หน้าบ้านของเราจะได้ยังสวยงามเหมือนเดิม ผมขออนุญาตแนะนำว่าควรแบ่งรางน้ำฝนให้มีท่อต่อระบายน้ำได้ถี่ๆ จะดีกว่าการใช้รางน้ำฝนขนาดใหญ่แล้วรวมลงที่จุดเดียวครับ เพราะรางน้ำฝนจะได้ไม่ต้องแบกรับน้ำฝนจำนวนมาก แล้วไปไหลลงที่จุดใดจุดหนึ่งของรางครับ แต่สามารถกระจายจุดลงได้ทั่วหลังคา และปัญหาที่สำคัญคือใบไม้ ขยะอุดตัน ต้องคอยซ่อมบำรุง หรือติดตั้งตาข่ายกันใบไม้ไว้ตั้งแต่ต้นเลยครับ (ยกเว้นว่าบ้านของท่านอยู่สูงกว่าต้นไม้ภายในที่ดิน / ของเพื่อนบ้านครับ)
สรุปสุดท้ายเลยครับ1.เลือกขนาดรางให้เหมาะสมกับขนาดหลังคา แต่ถ้าเอาชัวร์ก็ 6” ครับ ท่อลง 3” กำลังสบายๆ แต่ถ้าคล่องๆก็ 4” เลยครับ
2.เลือก ประเภทการใช้งาน หากท่านชอบความสวยงาม ก็สามารถเลือกไวนิล / ไฟเบอร์กลาส ที่มีความหลากหลายในการปรับแต่งให้สวยงามได้มากกว่า หากเน้นความทนทาน ผมเชื่อว่าเหล็ก / โลหะ ยังไงก็ทนทานกว่าพลาสติกครับ แต่อาจจะไม่สวยเท่า แต่ถ้าจะเอาสวยพอประมาณก็ยังพอมีทางเลือกเป็นเหล็กชุบกัลวาไนซ์ทดแทนกันได้ อยู่ ส่วนถ้าอยู่ในช่วงการออกแบบ จะเลือกเป็นรางน้ำฝนคอนกรีต หรือรางน้ำฝนชนิดอื่นๆก็ได้ เพราะท่านสามารถติดตั้งรางน้ำฝนได้ทันทีเมื่อมุงหลังคาเสร็จ โดยที่ท่านไม่ต้องจ่ายค่าตั้งนั่งร้านใหม่อีกรอบ ถ้าบ้าน 3-4 ชั้น เจอค่าตั้งนั่งร้านกันอ่วมเลยครับ เผลอๆจะตั้งนั่งร้านไม่ได้ หากสร้างบ้านแบบเต็มพื้นที่
3.เลือก ช่างที่มีประสบการณ์ในรางน้ำชนิดที่ท่านเลือก ไม่แนะนำให้ดูเพียงแต่ราคา / เมตร เพียงอย่างเดียว ให้เจาะลึกในรายละเอียดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ประกอบร่วมกันด้วย หรือขอดูผลงานเก่าๆ ในละแวกใกล้เคียงบ้านท่าน หรือถ้าให้ดีท่านชอบรางน้ำฝนบ้านหลังไหน กดออดถามกันหน้าบ้านเลยครับ อยากได้ช่างดีอย่าได้เขินอาย
แค่เรื่องรางน้ำฝน ก็ไปอีก 1 ตอนเต็มแล้วครับ ครั้งหน้าเดี๋ยวเรามาดูเรื่องงานระบบไฟฟ้าภายในบ้านกันบ้างครับ จะได้เผื่อกันให้ครบไปเลย ทำทีเดียวเบ็ดเสร็จ
From the Experts:
คุยกับพัลลภที่มา:
http://community.akanek.com/th/experts/punlop/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B2-%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B9%8A%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%AD-episode-3