ผู้เขียน หัวข้อ: แนวทางสู่ความสำเร็จในโลกการทำงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ (อ่าน 1628 ครั้ง)

Master

ในช่วงปีใหม่ใกล้มาถึง เป็นสัญญาณบอกว่าน้องๆที่อยู่ในภาคการศึกษาสุดท้ายก็ใกล้จะได้เป็นบัณฑิต เข้าไปทุกที หลายคนคาดหวังที่จะเรียนต่อ บางคนจะกลับไปช่วยกิจการที่บ้าน แต่ส่วนใหญ่ก็หวังอยากได้งานดีๆ คาดหวังรายได้สูงๆ ประกอบกับทางภาครัฐมีนโยบายเสนอให้เงินเดือนเริ่มต้นสำหรับผู้จบปริญญาตรี ให้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ทำให้หลายคนวาดฝันไว้ถึงอนาคตการทำงานที่สดใส เพื่อให้ฝันเหล่านั้นใกล้ความเป็นจริง ในบทความนี้จึงขอเสนอเทคนิค เคล็ดไม่ลับต่างๆที่จะมีส่วนช่วยสานฝันในด้านความสำเร็จในอาชีพการงานของน้องๆได้

ชูจุดเด่นของการเป็นบัณฑิตป้ายแดง เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้งาน
ในการแข่งขันในตลาดแรงงาน ในช่วงที่นายจ้างเป็นผู้เลือก ทำอย่างไรจึงจะได้รับเลือก ในงานที่เราเองก็มีความสนใจ ประกอบกับมีคู่แข่งทั้งที่มีประสบการณ์และที่จบมาพร้อมๆกับเราอีกเป็นจำนวน มาก (ยังไม่นับรวมที่ตกค้างยังไม่ได้งานทำจากปีก่อนๆอีก) ในที่นี้เรามีคำแนะนำดีๆให้ ดังต่อไปนี้

พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำตัวเป็นชาล้นถ้วย
ฝึกฝนความสามารถในการใช้อุปกรณ์ไฮเทคหรือ IT ต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว
กระตือรือร้น เต็มไปด้วยพลังแห่งการเรียนรู้ ผ่านการแสดงออกซึ่งกิริยาท่าทางที่เต็มไปด้วยพลัง
พร้อมที่จะปรับตัวเข้ากับผู้คนและสถานการณ์ต่างๆได้ดี
มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่ติดอยู่ในกรอบ
มีทัศนคติเชิงบวก มีแนวคิดว่าทุกๆอย่างเป็นไปได้ มองอุปสรรคปัญหาเป็นความท้าทาย
สามารถทำงานหลายๆรูปแบบคู่ขนานกันไปได้ (multitasking)
สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมได้ มีความเอื้อเฟื้อ ต่อคนรอบข้างรวมถึงสังคมโดยรวม
แม้ไม่ได้มีผลการเรียนดีเยี่ยมระดับเกียรตินิยม ก็ต้องรู้จริงในสายงานที่อยากทำ
มีความยืดหยุ่นสูง ยินดีที่หาประสบการณ์ในสายงานที่หลากหลาย (ไม่ยึดติดกับสาขาที่จบมาเท่านั้น)

เคล็ดลับความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ในวัยเริ่มทำงาน

“มีทัศนคตีที่ว่า เราทำได้” (Can Do Attitude)
เมื่อ ได้รับมอบหมาย ไหว้วาน ขอความช่วยเหลือให้ทำงานใดๆ ทั้งที่อยู่ในหน้าที่หรือไม่ใช่หน้าที่โดยตรง หลีกเลี่ยงคำพูดที่ว่า “ทำไม่ได้” “ทำไม่เป็น” “ไม่เคยทำ” “ไม่ชอบทำ” “ไม่อยากทำ” “ไม่อย่างนั้น ไม่อย่างนี้” แต่ให้โอกาสตัวเองได้ลองฝึก ได้ลองหัดทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อการต่อยอดการเรียนรู้ในอนาคตต่อไป และยังทำให้เป็นที่รักในกลุ่มรุ่นพี่ หรือเพื่อนร่วมงานอีกด้วย

“รู้จักกาละเทศะ” (Suitable Manner)
รู้ ว่าเวลาไหน ควรทำอะไร ตัวอย่างเช่น น้องๆ Gen Y ทั้งหลายที่มักจะติดในโลกการสื่อสาร ติดโทรศัพท์มือถือ ไอแพด ไอโฟน บีบี กิจกรรมตลอดวันก็จะเกี่ยวข้องกับชอบอัพเฟชบุ๊ค ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ ส่งข้อความแชทกับเพื่อน คุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัวเป็นเวลานาน ฯลฯ ซึ่งหากผู้ใหญ่ในองค์กรมาเห็นคุณทำสิ่งเหล่านี้ในเวลางานก็คงดูไม่ดี และอาจเกิดปัญหาตามมา ฉะนั้นเมื่อเราอยู่ในเวลาทำงาน ก็ควรบริหารเวลาให้เหมาะสม รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร

“มีสำนึกรับผิดชอบ” (Accountability)
เมื่อ ได้รับมอบหมายสิ่งใด ต้องใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ให้งานสำเร็จ เพราะอาจมีโอกาสไม่บ่อยครั้งที่จะให้เราได้พิสูจน์ฝีมือ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดในงาน ก็รู้จักยอมรับ ปรับปรุงแก้ไข และพยายามหาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานั้นอีก หลีกเลี่ยงการโยนความผิดไปที่ผู้อื่น แม้ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้เราดูแย่ในสายตาผู้ใหญ่และเพื่อนร่วมงาน

“ปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมขององค์กร” (Matching with Company’s Values)
ค่า นิยมในองค์กรคือสิ่งที่คนในองค์กรนั้นพึงยึดถือปฏิบัติ และเป็นการดีที่เราในฐานะพนักงานน้องใหม่ควรเรียนรู้ ว่าค่านิยมองค์กรทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการนั้นมีอะไรบ้าง และพยายามปฏิบัติตามให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติและกลมกลืนโดยไม่รู้สึกว่าฝืน ตัวเองมากจนเกินไปนัก

“เรื่องอื่นไม่ว่า หน้าตาต้องมาก่อน” (Personality Come first)
อย่า เพิ่งเข้าใจผิด ว่าบทความนี้แนะนำให้น้องๆไปศัลยกรรมแปลงโฉมให้เป็นหนุ่มสาวเกาหลี ตามสมัยนิยม แต่ต้องยอมรับว่าคนที่มีบุคลิกภาพที่ดี มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ จึงอยากให้น้องๆที่รักในความสำเร็จ ดูแลตัวเองในภาพรวมไม่ว่าจะเป็นทรงผม การดูแลผิวหน้า ผิวกาย การแต่งตัว การเลือกเครื่องประดับ เสื้อผ้า รองเท้า ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อความประทับใจต่อผู้ที่เราพบปะด้วย ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า การยืน เดิน นั่ง การพูดคุย ทักทาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน และไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้คนรอบข้างประทับใจ เพิ่มความน่าเชื่อถือในตัวน้องๆได้มาก ไม่แพ้เรื่องของความสามารถในการทำงานเลยทีเดียว

“มีจิตอาสา หรือจิตสำนึกสาธารณะ” (Volunteer Mind)
หลัง จากปรับตัวให้ดูดีในด้านภายนอกแล้ว ก็ต้องมาดูแลเรื่องความงามจากภายในด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มุ่งทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ทำสิ่งดีๆให้กับสังคมโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ ทำให้มีแรงดึงดูดมหาศาลในเชิงบวก (Law of Attraction) ใครอยู่ใกล้ก็จะรู้สึกดี รู้สึกอยากคบหาสมาคมด้วย เรื่องที่ทำอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เช่น แนะนำการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ ให้กับพี่ๆในออฟฟิต การช่วยอาสายกของ จัดเอกสาร หรืออาสาช่วยงานเล็กๆน้อยในแผนก ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ารักในสายตาเพื่อนร่วมงาน เนื่องจากในองค์กรสมัยใหม่การมักมีแนวทางการบริหารแบบ 3P ที่ไม่ได้เน้นที่เป้าหมายกำไรอย่างเดียว หรือมุ่งกำไรเท่านั้น (P-Profit) อีกต่อไป แต่ยังมีเป้าหมายเรื่องการดูแลของโลกของเรา (P-Planet) และผู้คนต่างๆ (P-People) รวมอยู่ด้วย การที่พนักงานรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้าง ยังถือเป็นเครื่องรับประกันความสำเร็จขององค์นั้นและความสำเร็จของพนักงาน ผู้นั้นในระยะยาวอีกด้วย

“มองการณ์ไกลและมีเป้าหมายชีวิต” (Goal Setting : Creating life you desired)
น้องๆ อาจลองฝึกมองไปในอนาคตว่า ในอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าจะอยู่ในตำแหน่งไหนขององค์กร และมีความเชี่ยวชาญเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เป็นคนที่ทำประโยชน์ให้กับองค์กรในด้านไหนบ้าง จากนั้นวางแผนทางเดินว่าจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรเป็นหลัก ต้องฝึกฝนตัวเองด้านไหนเป็นพิเศษ เพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น เมื่อภาพเป้าหมายชัด เส้นทางเดินชัด ก็อย่ารีรอที่จะลงมือทำ

ที่มา: http://jobmarket.co.th/mustKnow/content_detail.php?dd=5698

แจกของฟรี

ข่าว:

ผู้เขียน หัวข้อ: แนวทางสู่ความสำเร็จในโลกการทำงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ (อ่าน 1628 ครั้ง)

Master

แนวทางสู่ความสำเร็จในโลกการทำงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่