ผู้เขียน หัวข้อ: 6 เคล็ดลับเมื่อต้องพูดถึงจุดอ่อนของตนเองในการสัมภาษณ์งาน  (อ่าน 687 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
คนหางานส่วนใหญ่รู้จักคำถามสัมภาษณ์งานที่น่ากลัวข้อนี้ดี อะไรคือจุดอ่อนที่สุดของคุณ? แต่พวกเขามักไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร นี่จึงเป็นเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการพูดถึงจุดอ่อนที่สุดของคุณในการสัมภาษณ์งาน

1.รู้จักจุดอ่อนของคุณ


ถ้าคุณไม่รู้จักจุดอ่อนของตัวเอง ลองทำแบบทดสอบบุคลิกภาพดูและผลลัพธ์จะบอกคุณเอง ทุกคนมีจุดแข็งเฉพาะของตนเองและก็ย่อมมีจุดอ่อนเฉพาะบุคคลด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างแน่นอนว่าถ้าคุณมีจุดอ่อนที่ไม่ชัดเจน สิ่งที่ตามมาก็คือจุดแข็งของคุณก็ไม่ชัดเจนด้วย และความสามารถในการทำงานของคุณก็อาจเป็นที่น่าสงสัยได้

2.จงซื่อสัตย์ แต่อย่าพูดถึงทักษะสำคัญ

วิธีตอบคำถามนี้ให้ดีที่สุดก็คือ คุณต้องให้คำตอบที่เป็นความจริง เพราะเป็นไปไม่ได้อย่างมากเลยที่คุณจะถูกจ้างให้มาทำงานในสิ่งที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณ ตัวอย่างเช่น คนที่เป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์สามารถบอกได้ว่า จุดอ่อนของเขาคือการคิดคำนวณด้านการเงิน แต่แล้วมันจะเป็นอะไรไปล่ะถ้าเขาไม่ชอบด้านการเงิน? เขาไม่ได้กำลังจะถูกจ้างให้มาทำงานด้านนี้นี่ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพูดถึงจุดอ่อนที่สามารถทำลายโอกาสในการได้งานของคุณให้อ่านรายละเอียดของงานก่อนเพื่อดูว่าจริง ๆ แล้วนายจ้างกำลังมองหาคนที่มีคุณสมบัติอะไรอยู่

3.พูดถึงเรื่องที่ว่าคุณเอาชนะจุดอ่อนนั้นได้อย่างไร

เตรียมตัวแชร์ตัวอย่างประสบการณ์ความล้มเหลวหรือจุดอ่อนที่คุณเคยมีมาก่อน ซึ่งตอนนี้คุณประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนจุดอ่อนนั้นเป็นจุดแข็งเรียบร้อยแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องที่คุณยังพยายามแก้ไขอยู่และยังแก้ไขไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณพูดว่าคุณเคยมาทำงานสายและตอนนี้มาทำงานตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอแล้ว คุณคาดไว้ได้เลยว่าคุณคงไม่สามารถได้รับข้อเสนองานนี้แน่ เพราะตัวอย่างเรื่องการมาทำงานสายที่ยกมานี้จำเป็นต้องมีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังว่าหัวหน้า ที่ปรึกษา หรือสมาชิกในครอบครัวมีวิธีพูดกับคุณอย่างไรให้คุณเข้าใจว่าความตรงต่อเวลามีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ส่วนตัวของคุณและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณก็มาก่อนเวลาในการประชุมใด ๆ ก็ตามแต่เนิ่น ๆ ความจริงแล้วการยกตัวอย่างเรื่องที่เมื่อไม่นานมานี้ หัวหน้าชมคุณเรื่องเป็นคนแรกที่มาถึงในที่ประชุมถือเป็นข้อสนับสนุนที่คุณจำเป็นต้องแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าคุณแก้ปัญหานี้ได้แล้ว

4.อย่าเตรียมคำตอบตายตัว

แน่นอนว่าคุณต้องเตรียมคำตอบสำหรับคำถามสัมภาษณ์งานทั่ว ๆ ไปทุกข้อ โดยเฉพาะข้อที่มีนัยยะแอบแฝงเช่นนี้ คุณควรคิดถึงจุดอ่อนของคุณเอาไว้ล่วงหน้า แต่อย่าฝึกซ้อมตอบคำถาม เนื่องจากคำตอบของคุณสามารถเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยจากบทสนทนาที่เกิดขึ้นกับผู้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ และคุณคงไม่อยากพูดออกมาแบบไม่เป็นธรรมชาติ หรือดูราวกับว่ากำลังเล่นละครอยู่ใช่ไหมล่ะ

5.พูดถึงจุดอ่อนที่เกี่ยวข้องกับงานเท่านั้น

คุณต้องมั่นใจว่าเรื่องที่พูดออกมานั้นมีความเหมาะสมในเชิงธุรกิจ บางครั้งการพูดถึงจุดอ่อนที่เป็นเรื่องส่วนตัวก็เป็นที่รับได้ แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่ผู้สัมภาษณ์กำลังมองหาอยู่จริง ๆ คือจุดอ่อนในการทำงานและวิธีที่คุณเอาชนะมัน คุณจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการพูดถึงปัญหาส่วนตัวด้วยเช่นกัน แน่นอนว่า ทุกคนอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่บริษัทต้องการความมั่นใจว่าเรื่องนี้จะไม่มีผลกระทบต่องานถ้าคุณถูกจ้างให้เข้ามาทำงานนี้ นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำปัญหาส่วนตัวเข้ามาอยู่ในโลกธุรกิจ

6.อย่าพูดว่าคุณเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์ (พวกนิยมความสมบูรณ์แบบ) หรือคุณทำงานหนักมากเกินไป


กล่าวกันว่าคำตอบทั่วไปที่จะถูกปฏิเสธจากผู้สัมภาษณ์งานทันทีเลยก็คือ “ผม/ดิฉันเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์” และ “ผม/ดิฉันทำงานหนักมากเกินไปจนไม่มีเวลาผ่อนคลายเลย” ผู้สัมภาษณ์ได้ยินคำตอบเหล่านี้ตลอดเวลาและบ่อยครั้งพวกเขาก็จะถามหาคำตอบอื่นนอกเหนือจากนี้ หรือแค่ดำเนินการสัมภาษณ์ต่อโดยที่รู้เท่าทันว่าคุณเตรียมตัวมาสำหรับตอบคำถามนั้น จงใช้คำถามที่ถามถึงจุดอ่อนของคุณเป็นโอกาสในการแชร์เรื่องราวว่าคุณเอาชนะความท้าทายในอาชีพได้อย่างไร และตอนนี้คุณเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะจุดอ่อนนี้ได้อย่างไร คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการตอบว่าจุดอ่อนของคุณคือ “ผม/ดิฉันเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์” เพราะถ้าคุณถูกเรียกสัมภาษณ์ในตำแหน่งที่ไม่ได้ใช้ความละเอียดในการทำงาน มันก็จะเป็นจุดอ่อนที่ไม่น่าเชื่อถือ และถ้าคุณกำลังจะถูกจ้างให้ทำงานที่ต้องใช้ความละเอียด การเป็นเพอร์เฟคชั่นนิสต์จะทำให้คุณทำงานช้าและน่ารำคาญ


Reference: http://www.forbes.com
ที่มา: http://www.centralsmartjobs.com/th/Home/KnowledgeDetail/89_%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%206%20%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%96%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99