ผู้เขียน หัวข้อ: เจ้ามือ VS แมงเม่า  (อ่าน 2074 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ คนเหนือหุ้น

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 12
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
เจ้ามือ VS แมงเม่า
« เมื่อ: 5 เมษายน 2017, 13:30:25 »
มนุษย์ทุกคน  มีอารมณ์ ความโลภ   และความกลัว ด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่นักลงทุนที่สนใจเข้ามาหาผลประโยชน์โดยการลงทุน หรือเก็งกำไรจากตลาดหุ้นก็เช่นกัน  ซึ่งทุกคนที่เข้ามาก็คาดหวังไว้สวยหรูว่าจะเป็นผู้ชนะและกอบโกยกำไรออกไปอย่างมีความสุข  แต่ความจริงมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำได้ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะขาดทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ขาดความรู้ ความเข้าใจในการลงทุน  จึงกลายเป็นเหยื่อที่นำเงินเก็บหรือเงินออมมาทิ้งในตลาดหุ้นไป เหมือนสูญเงินในบ่อนการพนันที่ถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยสาเหตุจากความโลภ และความกลัว และขาดความรู้ในการลงทุน
 
    นักลงทุน มี 2 กลุ่ม   ฝ่ายหนึ่งขาย ก็จะมีอีกฝ่ายที่ซื้อหุ้นจำนวนนั้นมา ราคาที่เปลี่ยนแปลงก็ขึ้นกับ Demand ( ความต้องการซื้อหุ้น) และ Supply (ความต้องการขายของผู้ที่ถือหุ้นอยู่)  ซึ่งเป็นไปตามกลไกของตลาดทั่วๆไป  แต่ในตลาดหุ้น มันมีความแตกต่างในการสร้างราคาหุ้นได้ หรือทำให้ราคาเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น ซึ่งผู้กระทำ จะเป็นนักลงทุนรายใหญ่ หรืออาจเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือเป็นกลุ่มทุนที่มีเงินทุนมากเพียงพอจะกำหนดทิศทางของราคาหุ้นได้  ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา และจำนวนผู้เล่นทำงานเป็นทีมเพื่อหวังผลตอบแทนสูงๆในแต่ละรอบ
 
            ก่อนอื่น เราควรต้องทราบกฎพื้นฐานของ Demand & Supply  เสียก่อน  คร่าวๆคือ
 
   1.   The Law Of  Supply :    เมื่อราคาหุ้นยิ่งสูงขึ้น จะยิ่งจูงใจให้ผู้ถือหุ้นต้องการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาในตลาดมากขึ้น
 
 
 
 
    2.   The Law Of Demand :    เมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น  ความต้องการซื้อหุ้นจะลดลง
 
 
 
 
     3.  เมื่อ Demand  > Supply   จะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น           แต่หาก Supply > Demand  จะทำให้ราคาหุ้นลดลง     
 
 
 
 
 
           จากกฎเบื้องต้นของ Demand & Supply   ซึ่งเราพบเห็นได้ทั่วไปในสินค้าทุกชนิด  แต่สำหรับในตลาดหุ้นหรือตลาดของการเก็งกำไรนั้น มีการสร้างราคาหรือหากพูดหยาบๆก็คือปั่นราคาหุ้น ซึ่งมีทั้งการทำให้ราคาลดลงมากกว่าปกติ หรือราคาสูงขึ้นผิดปกติ  ซึ่งความผันผวนของราคาที่ปรับขึ้นและปรับลดลงจะสร้างส่วนต่างหรือผลตอบแทนให้เกิดขึ้นมา ซึ่งสร้างความร่ำรวยให้กับผู้ชนะ และสร้างความเสียหายให้แก่ผู้แพ้เสมอ
 
         เจ้ามือ ( Smart Money =  SM  )  แน่นอนว่าต้องการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำๆ  คงไม่มีใครอยากซื้อหุ้นจำนวนมากๆที่ราคาสูงๆเป็นแน่  และแน่นอน อีกว่าเจ้ามือคงต้องมีวิธีที่จะทำให้ได้หุ้นราคาถูกสะสมไว้ เพื่อไปขายทำกำไรในราคาสูงๆเมื่อโอกาสอำนวย  ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณีคือ
 
 1.    หากเป็นหุ้นที่ราคาไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว  หรือมีปริมาณการซื้อขายน้อย  นักลงทุนไม่ค่อยให้ความสนใจ  หุ้นลักษณะนี้เจ้ามือจะเก็บสะสมหุ้นในช่วงราคาต่ำๆให้ได้จำนวนหนึ่งที่มากพอจะควบคุมราคาได้ ซึ่งอาจใช้เวลาสะสมหุ้นนานหลายเดือน หรือเป็นปีก็ได้
 
 2.    การเกิดข่าวลือหรือข่าวร้ายต่อบริษัท ทำให้ราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง  ซึ่งข่าวดังกล่าวอาจเป็นเพียงข่าวลือ  แต่เมื่อนักลงทุนเกิดความตกใจจะเกิดแรงขายหุ้นจำนวนมากออกมาของรายย่อย  หรืออาจเป็นรายใหญ่ทุบหุ้นลงมาเพื่อเก็บคืนที่ราคาต่ำคืน ( ทำ Short against port )  จะถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้ามือในการเก็บสะสมหุ้นได้จำนวนมากครบตามต้องการอย่างรวดเร็ว (ในช่วง Selling Climax ) และยังได้ราคาที่ต่ำกว่าปกติอีกด้วย
 
 
 
 
 
         หลังจากเจ้ามือ เก็บสะสมหุ้นมาจนเพียงพอแล้ว  ก็ถึงขั้นตอนจะขายหุ้นที่เก็บสะสมไว้  ซึ่งแน่นอนว่าเจ้ามือคงไม่ต้องการขายในราคาต่ำแน่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอาศัยข่าว หรือการสร้าง  Story ให้กับหุ้นตัวนั้น เพื่อให้นักลงทุนเกิดความสนใจในการซื้อหุ้นโดยหวังว่าราคาหุ้นจะวิ่งสูงขึ้นไปอีกและได้กำไร  เจ้ามืออาจต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม   ซึ่งมีทั้งบัญชีเทรดหลายๆบัญชี  เปิดหลายๆโบรกเกอร์เพื่อส่งคำสั่งซื้อขายให้ซับซ้อนเพื่อไม่ให้ทางการตรวจสอบได้ง่าย   มีฝ่ายเชียร์หุ้น ตามหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ  ซึ่งราคาหุ้นสามารถถูกสร้างให้ดูดีทางเทคนิคได้เพื่อให้นักเก็งกำไรทางเทคนิคเข้าผสมโรงด้วย  และมีการเชียร์ให้เก็งกำไรระยะสั้นทางเทคนิค  สิ่งต่างๆเหล่านี้ต่างมีส่วนทำให้เกิด Demand  หรือความต้องการซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นจากนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรทั้งสิ้น  ซึ่งย่อมเกิดผลดีต่อราคาหุ้นเมื่อมี Demand ของหุ้นตัวนั้น เพิ่มขึ้นมาในตลาด
 
      ขั้นตอนการสร้างราคาให้ขยับขึ้นไป เรียกว่าการ Mark Up  ราคาให้ราคาค่อยๆสูงขึ้นไป ทำ Higher high และ Higher Low ไปเรื่อยๆ  โดยเจ้ามือยังควบคุมราคาให้เป็นไปตามที่ต้องการ ( ซึ่งเจ้ามือจะรู้เห็นกับผู้ถือหุ้นใหญ่หรือไม่ ก็สุดจะเดาได้ ...คิดกันเอาเอง ว่าหากไม่เตี๊ยมกันก่อน อาจเจอ แรงขายสวนลงไปราคา  floor ได้ง่ายๆ ได้เหมือนกัน )   ในช่วงนี้จะมีการโยนหุ้นไปมา ทั้งซื้อทั้งขาย เพื่อดันให้ราคาหุ้นค่อยๆสูงขึ้นไปถึงบริเวณราคาเฉลี่ยที่ต้องการขาย ซึ่งอาจใช้ระยะเวลาแตกต่างกันขึ้นกับปริมาณหุ้นที่เก็บสะสมไว้ตอนราคาต่ำ  ช่วงนี้แมงเม่าจะเห็นราคาขยับขึ้นและมี Volume เพิ่มเข้ามาก็พร้อมใจกันเข้าตะลุมบอน เพราะกลัวตกรถ   บางคนอาจโชคดีที่เป็นช่วงทำ Campaign ของเจ้ามือในการเรียกลูกค้า จึงยังไม่ทุบราคารุนแรง แต่กลับดันราคาให้ยิ่งสูงขึ้นไปอีกเพื่อสร้างความโลภให้แมงเม่าที่ยังลังเล  ทนไม่ไหว รีบซื้อตั๋วตามขึ้นไปด้วย   เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และมีแมงเม่าเข้าผสมโรงมากขึ้น  และมักจะมี  story  ข่าวดีออกมาจากบริษัทเรื่องความก้าวหน้าทางธุรกิจ เพื่อสร้างความคาดหวังให้ยังคงถือหุ้นต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหวังกำไรก้อนโต   จนถึงช่วงการทะยอยขายหุ้นออก ( Distribution phase )  ของเจ้ามือซึ่งจะใช้เวลามากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่ามีการสะสมหุ้นไว้มากแค่ไหน หากมีจำนวนหุ้นไม่มากนัก  อาจยึกยักราคาเหวี่ยงขึ้นลงบริเวณ Overbought  สักพักเพื่อทะยอยปล่อยหุ้นในมือออก หรือเกิดรูปแบบ Upthrust  (แท่งเทียนยาวๆ เปิดราคาสูง แล้ววิ่งขึ้นไปสูงๆ แล้วลงมาปิดต่ำพร้อม ปริมาณซื้อขายสูงมากๆ ) เป็นการปิดฉากม้วนเสื่อกลับบ้าน  หรือหากหุ้นในมือของเจ้ามือยังไม่หมดหรือยังเหลืออีกมาก ก็อาจกลับมาลากราคาอีกรอบ เพื่อทะยอยออกของจนหมด แล้วก็เก็บฉากปิดไฟ    ให้คนดูตั้งหน้าตั้งตาคอยจนเบื่อ  จนขายหุ้นทิ้งกันไป หรือนั่งเฝ้าดอยรอเจ้ามือหวนกลับมาเล่นใหม่ในครั้งหน้า
 
 
 
 
 
 
 
 
     สรุปรอบวงจรราคา Market stage  4   stages
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
       อ่านแล้ว ก็ลองคิดกันดูเล่นๆว่า เรากำลังอยู่ช่วงไหนของ Market stage  ของหุ้นตัวนั้นที่เราถืออยู่  และหากเราเก็งกำไรผิด เราจะทำอย่างไรต่อไป  ขอให้โชคดีทุกคนครับ.....


ที่มา: คุณkitty63
https://pantip.com/topic/32508184
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 5 เมษายน 2017, 13:44:08 โดย คนเหนือหุ้น »