ผู้เขียน หัวข้อ: อยากล้างแอร์บ้านเองยากไหมครับ  (อ่าน 1144 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ Master

  • [color=Turquoise][i]"อาจจะเหนื่อยล้าและมีผิดหวัง แต่ยังมีพรุ่งนี้ให้เราได้เริ่มกันใหม่ ทุกชีวิตที่อยู่ในเมืองนี้ สักวันก็คงได้สมดังใจ ... "[/i][/color]
  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *****
  • กระทู้: 487
  • พอยท์: 0
    • ดูรายละเอียด
อยากล้างแอร์บ้านเองยากไหมครับ
« เมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2017, 13:46:35 »
แอร์สกปรกมากใช้มาประมาณ6เดือนเลยคิดว่าว่าอยากจะลองล้างแอร์เองจะยากไหมครับ(ใจจริงอยากล้างเองมากกว่าครับ แต่ไม่เคยกลัวจะพังนะซิ)

 

 




ปรกติต้องใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง + แผ่นพลาสติกรองรับน้ำ + ถังน้ำ ถ้าเอาง่ายก็ซื้อสเปรย์ล้างแอร์แบบกระป๋องมาพ่นครับ ถ้าเปิดออกมาขนาดนี้ก็เอาแปรงสีฟันมาขัดเลยครับ สะอาดดี



ถ้าใช้สเปรย์ล้าง ต้องตอนที่ไม่สกปรกมากนะครับ ถ้าล้างตอนสกปรกมากๆ อาจจะทำให้ท่อน้ำทิ้งตัน ..
 
 ต้องเรียกช่างมาล้างอยู่ดี



ล้างเองเลยครับ นี้ครับตัวช่วย 250 บาท
 
 ใช้ผ้าพลาสติกจากในห้องน้ำครับ
 

เครื่องฉีดพ่นสารเคมี ขายตามร้านการเกษตร ใน Homepro หรือร้านวัสดุก่อสร้างก็มี แต่แรงดันมันไม่มากเท่าเครื่องฉีดน้ำไฟฟ้านะครับ อาจล้างคราบสกปรกติดแน่นไม่ออก


ถ้ามีสายยางยาวต่อจากก๊อกน้ำถึงเครื่องแอร์ได้ ก็ใช้แทนปืนฉีดน้ำได้เลยครับ
 
 แต่ควรจะเป็นก๊อกน้ำที่มีปั๊มน้ำอัดแรงดันด้วยน้ำจะได้แรง แล้วก็หาซื้อหัวปืนฉีดน้ำมาใส่
 
 ระวังอย่างเดียวคือเรื่องไฟฟ้า ก่อนทำต้องตัดเบรคเกอร์แอร์ก่อน
 
 และห้ามฉีดใส่ส่วนแผงวงจรไฟฟ้า หรือมอเตอร์



ไม่ยากเลยครับ มีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงก็ใช้งานได้ยาว เลือกแบบปืนสั้นยิ่งสะดวก
 
 หลักใหญ่ๆคือ ปลดคัตเอาท์ คลุมพลาสติกกันแผงไฟด้านขวาของเครื่อง และผ้ายางกันน้ำกระเด็น
 
 ถ้าไม่มั่นใจ อยากแนะนำให้จ้างเขาล้างสัก 1 ครั้ง แล้วลักจำว่าเขาทำอย่างไร



ที่ยากคือ  การถอดชิ้นส่วน และประกอบกลับเข้าไป
 
 มันมีล๊อค มีเขี้ยว ถ้าทำไม่ถูกจังหวะ อาจมีเฮได้
 
 แนะนำให้จ้างช่างสักเที่ยว  แล้วจับตาดูการทำงานให้ใกล้ชิด ดูการใช้ผ้าใบรองน้ำ
 (บางเจ้าดัดแปลงต่อข้อต่อกับผ้าใบได้  แล้วค่อยเสียบสายยางกับข้อต่ออีกทีนึง  โหยง่ายขึ้นเยอะ
 ไม่ต้องใช้ผ้าใบยาวถึงพื้นเลย)
 
 แอบถ่ายวิดีโอไว้เลยก็ได้  และอีกอย่างเรื่องไฟฟ้า ต้องสับเบรคเกอร์ที่คุมแอร์ตัวนี้อยู่
 
 ฉีดน้ำ พยายามป้องกันส่วนที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าด้วย
 
 เท่าที่เคยจ้างช่างมา  ส่วนใหญ่จะคิดว่า ตัวฉีดน้ำตูแรง อย่างอื่นไม่ต้องใช้
 
 ผมถ้าล้างเอง ฉีดน้ำให้ชุ่มคอยล์ และ พัดลมสักรอบนึง ต่อจากนั้นจะไล้ แฟ๊บหรือ น้ำยาทำความสะอาดอื่นๆ
 
 แล้วค่อยฉีดจัดหนักซักที   ทำเองสะอาดกว่าครับ....



สิ่งที่ต้องระมัดระวังอีกตัวคือมอเตอร์พัดลมครับ ระวังน้ำโดนมอเตอร์นะครับ และก็ที่สำคัญการล้างใบพัดลมครับ จำเป็นจะต้องดูด้วยนะครับ ใบพัดลมจะมีฝุ่นติดอยู่ตามซี่ใบพัดครับ และเมื่อล้างเสร็จให้เป่าด้วยโบล์วเวอร์ ครับ ส่วนด้านนอก ก็จำเป็นจะต้องล้างแผงระบายความร้อนด้วยครับ อย่าลืมตัดกระแสไฟฟ้าออกก่อนนะครับ อันตราย



เข้ามาเพิ่มเติม เสริมแต่งเล็กน้อยค่ะ เราเป็นช่างแอร์ ช่วยกันล้าง สามีเป็นช่าง เราเป็นลูกมือ ถ้าท่านใด สามารถถอดล้างเอง ทำแบบนี้เลยค่ะ ผ้าใบเย็บเป็นรูปกรวยค่ะ แม่สามีเย็บให้ค่ะ เราซื้อผ้าใบมาเองค่ะ ตามร้านห้องแถวที่ขายพวกนี้ นำไม่เลอะเทอะเลยค่ะ กรวยช่วยเราได้
 
 จะเห็นว่าเราใช้กระแป๋งพลาสติกใบน้อย แต่เราต้องเทน้ำทิ้ง แล้วมาต่อเที่ยวใหม่ ถ้าบ้านใคร มีตรงกับหน้าต่าง ก็เอาปลายกรวยหย่อนลงไปยังพื้นดินเลย เป็นบางบ้านนะคะ
 หน้าตา ปั๊มล้างแอร์ ราคา 12,000 บ. อายุ นานแล้ว เก่ามาก แต่ยังใช้ได้ดี ปรับความแรงน้ำได้ ใช้น้ำไม่มาก สะอาดด้วยค่ะ
 
 สายยาวมากค่ะ เพราะหน้างาน มีต่างกันออกไป
 
 น้ำดำมากอ้ะ ล้าง จนกว่าน้ำที่ตกลงมาจะใส ถึงจะพอค่ะ เอาให้สะอาด
 
 บอดี้ ก็เอามาฉีดล้าง ด้านนอก สายเรายาว ลากไปๆ
 



ควรจะมีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงครับ เลือกใช้ตัวที่มี regulator ปรับแรงดันได้
 
 อย่าได้เอาพวก 100 bar ปรับไม่ได้ ขึ้นไปมาฉีดนะครับ ฟินล้มแน่นอน พวกนี้เอาไว้ล้างพื้น ล้างอะไรที่คราบสกปรกติดแน่น อัดฉีดใต้ท้องรถยนต์ประมาณนั้น
 
 แรงดันในการล้างแอร์แค่ 30-50 bar ก็พอแล้วครับ จริงๆแล้วแค่สายน้ำก๊อก กับหัวฉีด อาจจะใช้พวกหัวฉีดรดน้ำต้นไม้ก็ได้ครับ มันก็ออกเหมือนกัน ถ้ายังติด ใช้แปรงขนละเอียดลูบตามแนวฟินได้ครับ
 
 สิ่งสำคัญคือการถอดประกอบครับ ต้องศึกษา เวลาล้างแอร์ ผมก็จะดูครับ แอบบันทึกวีดีโอไว้ แต่ยังไงก็ต้องดูครับ ตอนนี้ถอดเป็นแล้วครับ แอร์รุ่นใหม่ๆ ใช้คลิกล๊อคหมดครับ ต้องงัดให้ถูกจุด น๊อตแทบไม่มี
 
 และเรื่องไฟฟ้า ต้องปลอดภัย cut out off เสมอครับ



การล้างแอร์เองนั้น ดีครับ เพื่อประหยัดเงินและ ได้เห็นถึงสภาพของแอร์ที่เราใช่งานแต่ ถ้าหากไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของตัวแอร์จริงๆการล้างแอร์ก็ ไม่ง่ายอย่างที่เห็นครับ ท่านที่ล้างแอร์เอง (แอร์วอร์ไทด์หรือที่เรียกว่าแอร์ติดผนัง) นั้นไม่ได้มีถาดน้ำทิ้งอยู่แค่ด้านหน้าถาดเดียว(ในบางรุ่น) แต่มีถึง 2 หรือ 3 ถาดน้ำ ส่วนมากจะมา  2 ถาดน้ำหรือ สองรางน้ำ การที่ถอดแค่ถาดน้ำด้านหน้ามาล้างนั้น เป็นการล้างที่ไม่หมดไม่ดีพอครับ แต่ ก็พอสะอาดบ้างพอสมควร แต่ ปัญหาตามหลังมา จะมีน้ำหยด ถ้าฉีดล้างแผงฟิลคอยล์ ไม่ดีพอ นั้นคือสิ่งสกปรกจากการฉีดน้ำใส่แผงฟิลคอย์ลจะไปสะสมอยู่ที่ถาดน้ำด้านหลังซึ่งล้างออกไม่หมด(เพราะถาดด้นหลังจะไม่สามารถถอดออกได้เนื่องจากเป็นรางน้ำที่เป็นรางมากับตัวบอดี้ของแอร์) เมื่อการสะสมในรางน้ำดังกล่าวมากขึ้นจะทำให้น้ำทิ้งที่ไหลไปที่ถาดน้ำด้านหลังไม่สะดวกและทำให้น้ำล้นถาดและรั่วออกมาในที่สุดเมื่อเราใช่งาน แอร์ที่ จะมีถาดหลังส่วนมาก จะเป็นแอร์ที่มีแผงฟิลคอย์ล เป็นรูปตัววีคว่ำ และเป็นฟิลคอย์ลส่วนมาก ของแอร์ แบบ วอร์ไทด์(แอร์ติดผนัง) ดังนั้น ท่านที่ล้างแอร์เอง ควรสังเกตุให้ดี ว่า แอร์ของท่านมีถาดน้ำด้านหลังหรือไม่(ถาดน้ำแผงฟิลคอย์ลหลัง) ถ้ามี ควรล้างดีๆ นะครับ และอีกเรื่อง มอเตอร์ของแอร์วอร์ไทด์บางรุ่น เป็นมอเตอร์ที่เป็นระบบไฟฟ้าแบบ DC การที่ผู้ที่ล้างแอร์เอง โดยไม่มีความรู้ในเรื่องระบบแอร์ที่ดีพอ ต่อให้ท่านดับไฟไปแล้วก่อนทำการล้างแอร์ เมื่อท่านผู้ล้างทำการล้างในส่วนของใบพัดมอเตอร์ โดยการฉีดน้ำเข้าไป แล้วใบพัดหมุนตามแรงน้ำนั้น มีสิทธิที่จะทำให้มอเตอร์ นั้น เสียได้อยู่ดี นั้นคือ เมื่อ เปิดแอร์ใช่งานหลังทำการล้างเสร็จ ความเร็วของมอเตอร์ จะลดลง หรือ ที่เนียกว่า ช๊อตรอบ ในภาษาช่างแอร์ทั่วไป แต่ถ้าเป็นมอเตอร์ที่เป็นไฟ ระบบ AC นั้น ไม่เป็นไร ฉีดน้ำให้หมุนติ้วไปเลยก็ได้ ไม่เสีย ก็ขอให้ ระวังกันหน่อยครับเพราะราคา มอเตอร์ แพงกว่า จ้างช่างมาล้าง เยอะ อีกเรื่องคือ ความชื้นจากการล้างแอร์ ต่อให้ผู้ล้างแอร์เองทำการ คลุมพลาสติก ที่ แผงควบคุมไฟฟ้าของแอร์แล้วก็ตาม ถ้าทำการอย่างเต็มที่จริงๆ(ไม่ได้ฉีดแค่แป็ปๆเอาแค่ดูขาวๆแค่ภายนอก) ความชื้นจากละอองน้ำ จะสะสมที่แผงควบคุมแน่นอน โดยเฉพาะ ตัวรับเซ็นเซอร์รีโมท ควรทำการเป่าแห้งด้วยโบเวอร์(เครื่องเป่าลม)ทุกครั้งหลังการล้างแอร์นะครับมีหลายครั้ง ที่ แผงควบคุมเสียหลังการล้างแอร์ ก็ขอให้ระวังด้วย ยังมีอีกเยอะครับ เรื่องระบบปรับอากาศมีมากกว่าที่คิด ก็ฝึกหัดทำกันไปครับ จะได้ประหยัดเงิน สัก  1000 บาทต่อปี(ไม่ต้องจ้างล้างแอร์) ^^


ที่มา: https://pantip.com/topic/30893056